คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 109/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือจะต้องกล่าวข้อเท็จจริงเป็นข้อต่อสู้ให้ชัดแจ้งในคำให้การแต่ได้ระบุถึงเหตุแห่งการเลิกจ้างเพียงว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่มิได้อ้างเหตุแห่งการปฎิเสธว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ในเรื่องใดอย่างไรการที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ไม่ตอกบัตรลงเวลากลับจากทำงานโจทก์ขาดงานในวันที่17มิถุนายน2538โจทก์ขาดงานครึ่งวันในวันที่27เดือนเดียวกันวันที่13,18,25,29กรกฎาคม2538โจทก์เข้ามาทำงานช่วงเช่าช่วงบ่ายกลับไปโดยไม่ได้ตอกบัตรลงเวลานอกจากนี้ยังยื่นใบลาป่วยไม่ตรงกับความจริงถือว่าเป็นการนำสืบพยานหลักฐานนอกคำให้การแม้ศาลแรงงานกลางรับวินิจฉัยมาก็นอกประเด็นการที่จำเลยอุทธรณ์โดยอ้างเหตุดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลางต้องห้ามอุทธรณ์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2538 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ครั้งสุดท้ายทำหน้าที่พนักงานฝ่ายขายโฆษณาอัตราค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ 10,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน ต่อมาวันที่ 7 สิงหาคม 2538 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลเป็นการเลิกจ้างในวันที่ 15 สิงหาคม 2538 โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเป็นเงิน 10,000 บาท กับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 45 วัน เป็นเงิน 15,000 บาท จำเลยไม่ยอมจ่ายให้ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 15,000บาท และค่าชดเชยจำนวน 10,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ จำเลยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ในวันที่ 17 และวันที่ 27 มิถุนายน2538 โจทก์ขาดงาน และวันที่ 13, 18 และวันที่ 29 กรกฎาคม 2538ไม่ได้มีการตอกบัตรลงเวลากลับจากทำงาน โจทก์มีหน้าที่ที่จะต้องลงเวลากลับจากทำงานด้วย การที่โจทก์ขาดงานและไม่ลงเวลากลับจากทำงานถือได้ว่าเป็นการไม่ปฎิบัติตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยซึ่งเป็นนายจ้าง นอกจากนี้ตามใบลาป่วยและใบรับรองแพทย์เอกสารหมาย ล.5 และ ล.6 ที่ว่าโจทก์ได้ยื่นใบลาป่วยระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 5 สิงหาคม 2538 แต่ตามบัตรตอกเวลาเอกสารหมายล.7 มีข้อความว่า “อารอน” “ลืมตอก” ซึ่งโจทก์เบิกความยอมรับว่าเป็นผู้เขียนข้อความดังกล่าว ข้อความที่ปรากฏในบัตรตอกเวลาเอกสารหมาย ล.7 จึงเป็นการขัดแย้งกับใบลาป่วย ฟังได้ว่าโจทก์แสดงหลักฐานอันเป็นเท็จต่อผู้บังคับบัญชา แต่การที่โจทก์ไม่ไปทำงานและไม่บันทึกลงเวลากลับจากทำงานรวมทั้งเขียนข้อความอันเป็นเท็จลงในบัตรตอกเวลาดังกล่าว ไม่ปรากฎว่าเป็นการกระทำไปเพื่อแสวงหาผลประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใด อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยอาศัยอำนาจหน้าที่ของตน ทั้งไม่ปรากฎว่ามีผลทำให้โจทก์ได้ค่าจ้างหรือผลประโยชน์เพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใดการกระทำของโจทก์ดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานโดยไม่มีกำหนดเวลาและเลิกจ้างโดยมิได้บอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยจึงต้องรับผิดจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์ โจทก์เป็นลูกจ้างที่ทำงานกับจำเลยครบ120 วัน แต่ไม่ถึง 1 ปี เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 47 จำเลยต้องรับผิดจ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย30 วัน ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 46 พิพากษา ให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 15,000 บาท และค่าชดเชยจำนวน 10,000 บาท แก่โจทก์
จำเลย อุทธรณ์ ต่อ ศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “จำเลยอุทธรณ์ว่า การที่โจทก์ไม่ตอกบัตรลงเวลากลับจากทำงานก็ดี โจทก์ขาดงานก็ดี ถือได้ว่าเป็นการละทิ้งงานไปเสีย อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่และไม่ปฎิบัติตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างแล้วประกอบกับการที่โจทก์แสดงหลักฐานอันเป็นเท็จต่อผู้บังคับบัญชาโดยโจทก์ยื่นใบลาป่วยไม่ตรงกับความเป็นจริง อันเป็นการลาป่วยเท็จไม่มีผลการลา เป็นการละทิ้งงานไปเสีย ถือได้ว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ เป็นผลให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างต้องเสียหายเพราะโจทก์มีหน้าที่ต้องทำงานขายโฆษณา เสนองานลูกค้าโฆษณาในนิตยสารตามเป้าหมายการขายต่อเดือนที่ได้รับมอบหมาย ผลการละทิ้งงานไปเสียทั้งการขาดงานโดยตรงและโดยผลการลาเท็จ ถือว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่อย่างร้ายแรง และเป็นการประพฤติตนไม่เหมาะสมตามระเบียบการจ้างงานของจำเลยทำให้จำเลยต้องขาดประโยชน์ไม่ได้รายได้ตามเป้าหมายที่จำเลยวางไว้ แต่โจทก์ยังคงได้ประโยชน์เป็นเงินเดือนและค่าพาหนะตอบแทนจากจำเลยทุกเดือน ทั้งที่โจทก์ออกไปติดต่อลูกค้า คือบริษัทอารอนก็มิใช่ลูกค้าของจำเลยการกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นการแสวงหาประโยชน์มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง โดยไปทำงานส่วนตัว และเบียดบังเวลาการทำงานของจำเลย แม้โจทก์จะไม่ได้รับค่าจ้างหรือผลประโยชน์เพิ่มมากขึ้นจากจำเลย แต่จะมีผลในตอนสิ้นปี เพราะจะมีปรับเงินเดือนพนักงานลูกจ้างทุกคนของจำเลยรวมทั้งโจทก์ในคดีนี้ด้วย หากจำเลยยังไม่ทราบว่าโจทก์ละทิ้งงานและมีการยื่นใบลาป่วยพร้อมใบรับรองแพทย์เท็จ จำเลยจะต้องพิจารณาความดีความชอบเพื่อขึ้นเงินเดือนและโบนัสให้กับโจทก์ด้วย จำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้านั้น พิเคราะห์แล้วคดีนี้จำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือ ซึ่งจำเลยจะต้องกล่าวข้อเท็จจริงเป็นข้อต่อสู้ให้ชัดแจ้งในคำให้การ แต่คำให้การของจำเลยที่ให้การถึงเหตุแห่งการเลิกจ้างระบุเพียงว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ซึ่งเป็นการกระทำผิดอย่างร้ายแรงมิได้อ้างเหตุแห่งการปฎิเสธว่า โจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ในเรื่องใด อย่างไรดังนั้น การที่จำเลยนำสืบว่า โจทก์ไม่ตอกบัตรลงเวลากลับจากทำงานโจทก์ขาดงานในวันที่ 17 มิถุนายน 2538 โจทก์ขาดงานครึ่งวันในวันที่ 27 เดือนเดียวกันในวันที่ 13, 18, 25, 29 กรกฎาคม 2538โจทก์เข้ามาทำงานช่วงเช้า ช่วงบ่ายกลับไปโดยไม่ได้ตอกบัตรลงเวลานอกจากนี้ในวันที่ 4, 5 สิงหาคม 2538 โจทก์ยื่นใบลาป่วยไม่ตรงกับความจริง เป็นการแสดงหลักฐานเท็จต่อผู้บังคับบัญชานั้น จึงถือว่าเป็นการนำสืบพยานหลักฐานนอกคำให้การของจำเลย แม้ศาลแรงงานกลางจะรับวินิจฉัยมาก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นเป็นการไม่ชอบดังนั้น การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าการกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ซึ่งเป็นการกระทำผิดอย่างร้ายแรง จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยแก่โจทก์จึงเป็นการอุทธรณ์ในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายก อุทธรณ์ ของ จำเลย

Share