คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1089/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ไปยึดทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนจำกัดฯจำเลยที่ 1 ในคดีเดิม แล้วมอบให้จำเลยที่ 1 ในคดีนี้ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ในคดีเดิมเป็นผู้รักษาทรัพย์ เมื่อศาลมีคำสั่งให้ขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึด ปรากฏว่าทรัพย์บางรายการมีสภาพชำรุด ทำให้เสื่อมราคา ดังนี้หากจำเลยที่ 1 กระทำการใด ๆ แก่ทรัพย์ที่ยึดให้เสียหาย ผู้ที่เสียหายย่อมได้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีและโจทก์ในคดีเดิม โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีเดิมในฐานะผู้ค้ำประกันและเป็นผู้นำยึดทรัพย์จะต้องรับผิดใช้หนี้มากน้อยเพียงใด ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอากับจำเลยที่ 1 ในคดีเดิมได้ตามกฎหมาย ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ 1โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่1ผู้รักษาทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 187

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า คดีนี้สืบเนื่องมาจากธนาคารกรุงเทพพาณิชยการจำกัด ได้เป็นโจทก์ฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดหนองคายเซอร์วิสเป็นจำเลยที่ 1 และโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยที่ 2 ต่อมามีการบังคับคดี โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ยึดทรัพย์จำเลยที่ 1 เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ในคดีเดิม โดยโจทก์เป็นผู้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์ และให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ในคดีนี้เป็นผู้ดูแลรักษาทรัพย์ที่ยึด ต่อมาจำเลยร่วมกันทำลายตู้เย็นและเครื่องรับโทรทัศน์ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ถูกยึด ทำให้เสื่อมราคาและไร้ประโยชน์ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้การเป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันและเป็นผู้นำยึดทรัพย์ได้รับความเสียหายโดยขายทอดตลาดตู้เย็นได้ในราคาต่ำกว่าราคาที่แท้จริง ส่วนเครื่องรับโทรทัศน์ขายไม่ได้ เป็นเหตุให้โจทก์ต้องรับชำระหนี้ให้แก่โจทก์ในคดีเดิมเพิ่มขึ้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 187,83

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา

จำเลยให้การและแก้คำให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิด และความผิดตามมาตรา 187 เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานยึดทรัพย์จะฟ้องร้องเอากับผู้รักษาทรัพย์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 187 ให้จำคุก 2 เดือน ปรับ 2,000 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด1 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 โดยไม่รอการลงโทษ

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้อง

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ จำกัดสาขาหนองคาย เป็นโจทก์ฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดหนองคายเซอร์วิส โดยจำเลยที่ 1 ในคดีนี้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเป็นจำเลยที่ 1 และโจทก์ในคดีนี้ในฐานะผู้ค้ำประกันเป็นจำเลยที่ 2 ให้รับผิดชำระเงินกู้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี แล้วโจทก์กับจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยที่ 1 ยอมชำระเงินให้แก่ธนาคาร โจทก์ในคดีนี้ยอมเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ต่อธนาคาร ต่อมาจำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงินตามสัญญา โจทก์ในคดีเดิมของบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยที่ 2 โจทก์ในคดีนี้จึงขอให้ยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ก่อน ศาลอนุญาต และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ไปยึดทรัพย์จำเลยที่ 1 แล้วมอบให้จำเลยที่ 1 ในคดีนี้เป็นผู้รักษาทรัพย์ เมื่อศาลมีคำสั่งให้ขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดปรากฏว่าตู้เย็นและเครื่องรับโทรทัศน์มีสภาพชำรุดหลายประการ ทำให้เสื่อมราคา

ปัญหามีว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ในคดีก่อนไว้แล้ว และได้มอบให้จำเลยที่ 1 ในคดีนี้เป็นผู้รักษาทรัพย์ที่ยึด หากจำเลยที่ 1 กระทำการใด ๆ แก่ทรัพย์ที่ยึดให้เสียหายตามฟ้อง ผู้ที่เสียหายย่อมได้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีและธนาคารฯ โจทก์เจ้าหนี้ในคดีเดิม หากโจทก์จะต้องรับผิดใช้หนี้มากน้อยเพียงใด โจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอากับห้างหุ้นส่วนจำกัดหนองคายเซอร์วิสได้ตามกฎหมาย กรณีดังกล่าวถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำของจำเลยผู้รักษาทรัพย์ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ผู้รักษาทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 187

พิพากษายืน

Share