แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมกับโจทก์ จะแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ ไม่ได้ฟ้องนางทรัพย์จำเลยให้การต่อสู้ว่า ทรัพย์มรดกที่พิพาท จำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องอยู่ในความครอบครองของนางทรัพย์และ ส. ซึ่งเป็นโจทก์คนหนึ่งได้รับส่วนแบ่งไปจากนางทรัพย์แล้ว ซึ่งถ้าสมข้อต่อสู้ของจำเลย จำเลยก็ไม่ต้องรับผิด ดังนี้ เป็นข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องฟังจากพยานหลักฐานต่อไป
คดีก่อนเป็นเรื่องฟ้องแบ่งมรดก คดีหลังเป็นเรื่องฟ้องเรียกทรัพย์ตามสัญญาแบ่งมรดก ดังนี้ หาใช่เรื่องเดียวกันไม่ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลรวมพิจารณาพิพากษา
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องเป็นทำนองเดียวกันว่า นายแป้นกับนางทรัพย์ได้ทำการสมรสกันเมื่อประมาณ ๕๐ ปี เกิดบุตรด้วยกัน ๑๐ คนรวมทั้งโจทก์ทั้ง ๓ จำเลยเป็นน้องนางทรัพย์ ได้เสียเป็นสามีภริยากับนายแป้นเมื่อประมาณ ๓๖ ปีมานี้ ไม่มีบุตรด้วยกัน นายแป้นถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๐๒ โดยไม่ได้ทำพินัยกรรม มีทรัพย์รวมเป็นเงิน ๒๐๖,๐๐๐ บาท จำเลยครอบครองทรัพย์สินอันเป็นมรดกแล้วปิดบังซ่อนเร้นยักยอกเงินมรดกเป็นส่วนตัว ๔๕,๐๐๐ บาท ฯลฯ ทรัพย์มรดกที่ปิดบังคิดเป็นราคา ๑๑๘,๕๐๐ บาท ต่อมานายเสงี่ยม โจทก์เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยตามสำนวนคดีแดงที่ ๒๔๑/๒๕๐๒ ซึ่งจำเลยประนีประนอมกับโจทก์ทำสัญญาแบ่งมรดกกันเอง โดยจำเลยยอมแบ่งที่ดินอันดับ ๑๘-๒๓ ให้โจทก์ ๑ ส่วน กับเงินอีก ๖,๐๐๐ บาท คิดเป็นเงิน ๓๔,๓๓๓ บาท จำเลยสัญญาจะจัดการแบ่งให้ภายใน ๑ เดือน โจทก์จึงถอนฟ้องครบกำหนดกลับไม่ยอมแบ่ง นายเสงี่ยม โจทก์จึงฟ้องจำเลยอีกตามสำนวนคดีแดงที่ ๑๒๖/๒๕๐๓ และในคราวเดียวกัน นายบุตรนายสินโจทก์และนางเป้าก็ฟ้องจำเลยตามสำนวนคดีแดงที่ ๑๒๕/๒๕๐๓ และ ๑๒๔/๒๕๐๓
ในคดีที่นายเสงี่ยมนายบุตรนายสินและนางเป้าฟ้องจำเลยนั้น กล่าวฟ้องเป็นทำนองเดียวกัน โดยขอแบ่งมรดกจากจำเลย ฝ่ายจำเลยให้การต่อสู้ว่า แบ่งมรดกให้โจทก์รับไปแล้วศาลรวมพิจารณาเข้าด้วยกัน ในวันชี้สองสถานโจทก์จำเลยตกลงท้ากันในประเด็นข้อเดียวเป็นข้อแพ้ชนะ คือ โจทก์ว่าจำเลยไม่ได้แบ่งมรดกทุกชิ้นให้โจทก์ แบ่งบางชิ้น โจทก์ไม่ได้สละมรดก ส่วนจำเลยว่า โจทก์จำเลยได้ตกลงกัน โจทก์รับเงินไปแล้วไม่ขอเกี่ยวข้องกับมรดกรายอื่น เป็นการสละมรดก ประเด็นหลังนี้ตกลงท้ากันให้สืบนายบุญกำนันผู้เดียว หากนายบุญเบิกความสมฝ่ายใดฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายชนะคดี ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยฟังว่ามีการทำสัญญาแบ่งมรดกกันเองจริง ส่วนที่จะได้ทรัพย์มรดกตามสัญญาแบ่งมรดกหรือไม่นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ศาลฎีกาพิพากษายืน โจทก์ทั้งสามจึงฟ้องคดีนี้เรียกทรัพย์ตามสัญญาแบ่งมรดก ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยแบ่งมรดกให้แก่โจทก์ตามสัญญาแบ่งมรดก โดยแบ่งทรัพย์มรดกตามบัญชีทรัพย์อันดับ ๑๘ ถึง ๒๓ ให้โจทก์คนละ ๑ ส่วนคิดเป็นเงิน ๒๘,๓๓๓ บาท กับเงินสดอีกคนละ ๖,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินคนละ ๓๔,๓๓๓ บาท ถ้าจำเลยไม่สามารถแบ่งทรัพย์มรดกให้โจทก์ ก็ขอให้เอาทรัพย์มรดกออกประมูลราคาระหว่างกันเองก่อน
จำเลยให้การว่า จำเลยมีสินส่วนตัว ไม่ได้มีเจตนาทุจริตคิดฉ้อฉลปิดบังยักย้ายมรดกของนายแป้น ไม่เคยยักยอก เงินที่เป็นมรดกนายแป้นมีเพียง ๒๐,๐๐๐ บาท มรดกของนายแป้นไม่อยู่ในความครอบครองของจำเลย จำเลยไม่ต้องรับผิด นายเสงี่ยมโจทก์หมดสิทธิฟ้องร้องเพราะได้รับทรัพย์มรดกไปจากจำเลยเป็นที่พอใจแล้ว
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย วินิจฉัยว่า สารสำคัญที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองคดีคือโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยได้ประนีประนอมทำสัญญาแบ่งมรดกให้แก่โจทก์ตามบัญชีท้ายฟ้องอันดับ ๑๘ ถึง ๒๓ ให้แก่โจทก์คนละ ๑ ส่วน กับเงินสดอีกคนละ ๖,๐๐๐ บาท คำให้การของจำเลยทั้งสองสำนวนมิได้ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ พิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์มรดกตามบัญชีท้ายฟ้องอันดับที่ ๑๘ ถึง ๒๓ ให้โจทก์ทั้งสามคนละ ๑ ส่วน กับให้เงินสดแก่โจทก์อีกคนละ ๖,๐๐๐ บาท ตามสัญญาแบ่งมรดกที่จำเลยทำไว้กับโจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ทั้งสามฟ้องว่าจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมกับโจทก์จะแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ หาได้ฟ้องนางทรัพย์ไม่ ซึ่งจำเลยก็ได้ให้การต่อสู้ว่า ทรัพย์มรดกที่พิพาทจำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องอยู่ในความครอบครองของนางทรัพย์และนายเสงี่ยมโจทก์ได้รับส่วนแบ่งไปจากนางทรัพย์แล้ว ซึ่งถ้าสมข้อต่อสู้ของจำเลย จำเลยก็ไม่ต้องรับผิด ดังนี้ เป็นข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องฟังพยานหลักฐานต่อไป
ที่จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องโดยเป็นฟ้องซ้ำนั้น เห็นว่าไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะคดีก่อนเป็นเรื่องฟ้องแบ่งมรดก คดีนี้เป็นเรื่องฟ้องเรียกทรัพย์ตามสัญญาแบ่งมรดก หาใช่เรื่องเดียวกันไม่
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่