คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 410/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งครูใหญ่ มีหน้าที่ออกใบสุทธิให้แก่นักเรียนที่ออกไปจากโรงเรียนตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ ดังนี้ แม้แบบพิมพ์ใบสุทธิจะอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 1 ก็ตาม ก็เพียงเพื่อออกเป็นใบสุทธิให้แก่นักเรียนซึ่งจำเลยที่ 1 มีอำนาจหน้าที่ออกตามระเบียบ ก็เป็นเรื่องผิดหน้าที่ในการใช้ ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำทุจริตต่อหน้าที่ในการรักษาตามความมุ่งหมายของมาตรา 151 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ตอนแรก กับมาตรา 162 ไม่มีบทบัญญัติว่าจะต้องเป็นการกระทำโดยทุจริต ฉะนั้น เมื่อฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานออกใบสุทธิโดยจดเปลี่ยนแปลงข้อความไม่ตรงต่อความจริงและผิดระเบียบเพื่อให้พลทหารเอกพลทหารเบ็ญนำไปแสดงต่อผู้บังคับบัญชาในการขอบำเหน็จความชอบนั้นก็ได้ชื่อว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายโดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่ราชการทหารในตัวครบองค์ความผิดตามมาตรา 157 ตอนแรก และมาตรา 162(3) เป็นความผิดตามบทกฎหมายสองมาตราดังกล่าว และให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนัก
สำหรับจำเลยที่ 2(เป็นครูน้อย โจทก์ฟ้องว่าร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิดดังกล่าว) ศาลลงโทษจำเลยที่ 2 เพียงผู้สนับสนุน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น (จำคุกไม่เกิน 5 ปี) นั้นการที่ศาลจะรอการลงโทษจำเลยหรือไม่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับดุลพินิจโจทก์ฎีกาโต้แย้งข้อนี้ไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
(ปัญหาที่ 2 วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่19-20/2508)

ย่อยาว

คดี 2 เรื่องนี้ จำเลยเป็นคน ๆ เดียวกัน ศาลพิจารณาพิพากษารวมกันโจทก์ฟ้องเป็นใจความเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งครูใหญ่สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ มีหน้าที่ออกใบสุทธิให้แก่นักเรียนที่ออกไปจากโรงเรียนตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการจำเลยที่ 2 เป็นครูน้อย ได้บังอาจร่วมกันทำใบสุทธิอันเป็นเอกสารราชการ และเป็นเอกสารรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จ โดยนำความที่รู้ว่าเป็นเท็จจดกรอกลงในแบบพิมพ์ใบสุทธิอันเป็นทรัพย์สินของกระทรวงศึกษาธิการซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยที่ 1 ตามหน้าที่ ให้แก่พลทหารเอกในสำนวนที่ 1 พลทหารเบ็ญในสำนวนที่ 2 แสดงว่าพลทหารทั้งสองเรียนจบหลักสูตรชั้นประถมปีที่ 4 เพื่อให้นำไปแสดงต่อผู้บังคับบัญชาพิจารณาบำเหน็จความชอบให้ เป็นการมิชอบและทุจริตโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ทำและรักษาเอกสารดังกล่าวเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นความจริง น่าจะเกิดความเสียหายแก่กระทรวงศึกษาธิการ ผู้บังคับบัญชาของพลทหารทั้ง 2 รวมทั้งสาธารณชนและทางราชการแห่งรัฐ ขอให้ลงโทษตามมาตรา 151, 157, 162, 83, 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

จำเลยที่ 1 ปฏิเสธ จำเลยที่ 2 รับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 2 ผิดมาตรา 157,162 เฉพาะจำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้สนับสนุนตามมาตรา 86 ลดโทษตามมาตรา 78 สำหรับจำเลยที่ 1 ให้ 1 ใน 3 จำคุก 2 ปี ลดโทษสำหรับจำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง จำคุก 1 ปี รอการลงโทษในกำหนด 3 ปี

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา 151 ด้วยและไม่ควรรอการลงโทษ

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายว่า จำเลยไม่ได้กระทำโดยทุจริต ไม่มีความผิด หากผิดก็ขอให้รอการลงโทษ

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ จำเลยที่ 1 ฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายว่า ตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาจะเป็นผิดตามมาตรา 151 ด้วยหรือไม่ และความผิดตามมาตรา 157 กับ 162 ต้องประกอบด้วยเจตนาทุจริตหรือไม่

ปัญหาตามมาตรา 151 วินิจฉัยว่า แม้แบบพิมพ์ใบสุทธินี้จะอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยที่ 1 ก็ตาม ก็เพียงเพื่อออกเป็นใบสุทธิให้แก่นักเรียนที่ออกไปจากโรงเรียน ซึ่งจำเลยที่ 1 มีอำนาจหน้าที่ในการออกใบสุทธินี้ตามระเบียบ ถ้านำไปใช้ในทางไม่ตรงต่อความจริงและผิดระเบียบ ก็เป็นเรื่องผิดหน้าที่ในการใช้ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำทุจริตต่อหน้าที่ในการรักษาตามความมุ่งหมายของมาตรานี้ จำเลยที่ 2 ผู้ร่วมกระทำกับจำเลยที่ 1 จึงยังไม่มีความผิดตามมาตรานี้ด้วย

ปัญหาตามมาตรา 157, 162 นั้น พิจารณาโดยที่ประชุมใหญ่แล้วเห็นว่า มาตรา 157 ตอนแรกกับมาตรา 162 ไม่มีบัญญัติว่าจะต้องเป็นการกระทำโดยทุจริตด้วย ฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานออกใบสุทธิในหน้าที่โดยจดเปลี่ยนแปลงข้อความไม่ตรงต่อความจริงและผิดระเบียบเพื่อให้พลทหารเอกพลทหารเบ็ญนำไปแสดงต่อผู้บังคับบัญชาในการขอบำเหน็จความชอบนั้นก็ได้ชื่อว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายโดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่ราชการทหารในตัวครบองค์ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 157 ตอนแรก และมาตรา 162(3) แล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามบทกฎหมายสองมาตราดังกล่าว แต่การกระทำของจำเลยกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามมาตรา 90 ให้ใช้กฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษ

ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้รอการลงโทษจำเลยนั้นเห็นว่า การที่ศาลจะรอการลงโทษจำเลยหรือไม่นั้นเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับดุลพินิจ โจทก์ฎีกาโต้แย้งในข้อนี้ไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

พิพากษาให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 157 ที่แก้ไขแล้วซึ่งเป็นบทหนักโดยเฉพาะจำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้สนับสนุนตามมาตรา 86 นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share