แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
(1) เมื่อปรากฏว่าจำเลยเดิมให้การว่า เรือนพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของจำเลยร่วม และจำเลยร่วมก็อ้างว่าเป็นของตน การสร้างก็ดี การให้จำเลยอาศัยก็ดี โจทก์ทำแทนจำเลยร่วมทั้งสิ้น ดังนี้ ย่อมไม่ขัดกับข้อต่อสู้ของจำเลยเดิม อนึ่งเมื่อจำเลยเดิมให้การว่า ที่ดินที่ปลูกเรือนนั้นจำเลยร่วมเช่าจากวัดป่าประดู่ และจำเลยร่วมก็อ้างอย่างเดียวกัน เช่นนี้ ย่อมไม่ถือว่าจำเลยร่วมใช้สิทธิขัดกับสิทธิของจำเลยเดิม (2) ในฟ้องแย้งจำเลยอ้างว่าโรงเรือนรายพิพาทปลูกก่อนจำเลยเช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดิน ดังนี้ โจทก์จำเลยย่อมไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน และการที่โจทก์อยู่ในที่ดิน หากจะเป็นการละเมิดก็ละเมิดต่อเจ้าของที่ดิน ไม่ใช่ต่อจำเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ จึงไม่มีเหตุจะต้องพิจารณาฟ้องแย้งของจำเลย (3) ในกรณีที่จำเลยต่อสู้ว่า โรงเรือนพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของจำเลยร่วมและจำเลยร่วมได้ขอต่อสู้คดีกับโจทก์ดังกล่าวในข้อ (1)(2) ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ดังฝ่ายจำเลยต่อสู้โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย เพราะอำนาจเหล่านี้เป็นของเจ้าของทรัพย์ ฉะนั้น การที่ศาลล่างให้จำเลยแพ้คดีโดยอ้างว่าจำเลยอาศัยโจทก์โดยไม่วินิจฉัยว่าโรงเรือนเป็นของโจทก์หรือของจำเลยร่วมจึงไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านที่ขออาศัย
จำเลยให้การต่อสู้และฟ้องแย้งให้โจทก์รื้อโรงเรือนออกไป
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าจำเลยไม่มีสิทธิฟ้องแย้งให้รื้อโรงเรือน
นางหวาย วิชญกุล ขอเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยออกจากโรงเรือนและใช้ค่าเสียหาย
จำเลยและจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วกล่าวว่า จำเลยร่วมอ้างว่าโรงเรือนที่โจทก์อ้างว่าเป็นของโจทก์และฟ้องขับไล่จำเลยนั้น ความจริงเป็นโรงเรือนของจำเลยร่วม การสร้างโรงเรือนก็ดี การให้จำเลยอาศัยก็ดี โจทก์เป็นผู้ทำแทนจำเลยร่วมทั้งสิ้น ข้อต่อสู้ของจำเลยร่วมดังกล่าวนี้ไม่ขัดกับข้อต่อสู้ของจำเลยเดิม เพราะจำเลยเดิมก็ให้การต่อสู้ว่าโรงเรือนไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของจำเลยร่วม ส่วนข้อที่จำเลยร่วมอ้างว่าโรงเรือนรายนี้ปลูกอยู่ในที่ดินที่จำเลยร่วมเช่าจากวัดป่าประดู่จำเลยเดิมก็ให้การต่อสู้ว่า ที่ดินที่ปลูกเรือนนั้นจำเลยร่วมเช่าจากวัดป่าประดู่ จึงไม่ขัดแย้งกัน ส่วนข้อที่จำเลยเดิมอ้างว่าเมื่อเดือนตุลาคม 2501 จำเลยร่วมยินยอมให้จำเลยเช่าที่ดินจากวัดป่าประดู่เฉพาะที่ปลูกโรงเรือนพิพาทสองห้องนั้น จำเลยร่วมมิได้กล่าวถึงข้อความเกี่ยวข้องกับข้อต่อสู้ข้อนี้ของจำเลยเดิม อันเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 58 วรรคสองดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย คดีนี้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เป็นจำเลยร่วมและได้ดำเนินการพิจารณาจนเสร็จสิ้นแล้ว คดีของจำเลยร่วมควรได้รับการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทด้วย
ตามฟ้องแย้งของจำเลยอ้างว่า โรงเรือนพิพาทปลูกมาก่อนจำเลยเช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดิน ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน และการที่โจทก์อยู่ในที่ดิน หากเป็นการอยู่โดยละเมิด ก็เป็นการทำละเมิดต่อเจ้าของที่ดิน ฉะนั้น จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขับไล่ได้ คดีจึงไม่มีเหตุจะให้ศาลล่างพิจารณาฟ้องแย้งของจำเลยต่อไป
ข้อที่ศาลล่างพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี โดยอ้างว่าจำเลยอาศัยโรงเรือนพิพาทจากโจทก์และไม่วินิจฉัยว่า โรงเรือนพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยร่วมนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยต่อสู้อยู่ว่าโรงเรือนพิพาทมิใช่ของโจทก์ แต่เป็นของนางหวาย วิชญกุล และนางหวาย วิชญกุลได้ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมต่อสู้คดีกับโจทก์ดังที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยมาแล้ว หากข้อเท็จจริงฟังได้ดังข้อต่อสู้ของจำเลยและจำเลยร่วม โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ เพราะอำนาจฟ้องขับไล่หรือให้ผู้ใดอยู่ในทรัพย์เป็นของเจ้าของทรัพย์ตลอดจนการฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกี่ยวกับทรัพย์นั้น ฉะนั้น สำหรับคดีนี้ที่ศาลล่างไม่วินิจฉัยว่าโรงเรือนรายพิพาทเป็นของใครเสียก่อนจึงไม่ชอบ
พิพากษาแก้ให้ยกคำพิพากษาศาลล่าง นอกจากที่พิพากษายกฟ้องแย้งของจำเลย ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ นอกจากส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์