แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนังสือที่จำเลยทำให้แก่โจทก์เพื่อรับรองว่าจำเลยยังมีหนี้ค่าจ้างก่อสร้างค้างชำระแก่โจทก์อยู่ตามเอกสารหมาย จ. 1 ทำขึ้นภายหลังจากมูลหนี้ค่าจ้างก่อสร้างขาดอายุความไปแล้ว จึงไม่ใช่หนังสือรับสภาพหนี้อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (1) แต่มีลักษณะเป็นหนังสือรับสภาพความรับผิดที่จำเลยรับผิดต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้โดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ อันก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องแก่โจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/35 ซึ่งบัญญัติให้มีอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับสภาพความผิด จำเลยทำเอกสารหมาย จ. 1 เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2540 โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 4 พฤศจิกายน 2542 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าจ้างค้างจ่ายพร้อมดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องรวมจำนวน ๔๔๔,๔๙๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๔๑๔,๔๙๖ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน ๔๑๔,๔๙๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๔๑ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกินจำนวน ๓,๐๐๐ บาท ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๑๕,๐๐๐ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์ปลูกสร้างอาคารจำนวน ๘ หลัง ตามสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างอาคาร โจทก์ทำงานไปบางส่วน แต่ยังไม่เสร็จ ก็มีการบอกเลิกสัญญาต่อกัน จำเลยจะต้องชำระค่างวดงานแก่โจทก์ในวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๓๘ แต่จำเลยมิได้ชำระ จนกระทั่งหนี้ค่าจ้างก่อสร้างดังกล่าวขาดอายุความ ต่อมาเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ จำเลยทำหนังสือรับรองมูลค่างานก่อสร้าง ตามเอกสารหมาย จ. ๑ หลังจากนั้นจำเลยชำระเงินแก่โจทก์ ๓ ครั้ง รวมเป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แล้วไม่ชำระอีกเลย โจทก์เคยมีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ และจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า คดีโจทก์ขาดอายุความและจำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามเอกสารหมาย จ. ๑ ให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า โจทก์ยอมรับว่าหนี้ค่าจ้างที่จำเลยค้างชำระโจทก์ตามสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างอาคารนั้น ขาดอายุความแล้ว แต่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำหนังสือตามเอกสารหมาย จ. ๑ รับที่จะชดใช้เงินจำนวน ๕๑๔,๔๙๖ บาท ให้แก่โจทก์ และโจทก์ได้รับชำระบางส่วนจำนวนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระเงินจำนวนที่ค้างอยู่อีก ๔๑๔,๔๙๖ บาท ให้แก่โจทก์ ดังนี้ จึงเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยชำระเงินตามเอกสารหมาย จ. ๑ เมื่อได้พิจารณาหนังสือตามเอกสารหมาย จ. ๑ จะเห็นได้ว่า แม้จำเลยจะพิมพ์หัวเรื่องว่าเป็นเรื่องรับรองมูลค่างานก่อสร้าง แต่เมื่ออ่านข้อความในเอกสารดังกล่าว จะได้ใจความว่า งานก่อสร้างที่โจทก์จำเลยทำสัญญากันตามสภาพไม่สามารถคืนหน้าไปได้ด้วยปัจจัยหลายอย่าง แต่งานก่อสร้างที่โจทก์ทำมาแล้วนั้นมีมูลค่างานที่ยังไม่ได้รับชำระจากจำเลย ๗ รายการ เป็นเงินรวม ๕๑๔,๔๙๖ บาท หนังสือตามเอกสารหมาย จ. ๑ จึงเป็นหนังสือที่จำเลยทำให้แก่โจทก์เพื่อรับรองว่าจำเลยยังมีหนี้ค่าจ้างก่อสร้างค้างชำระแก่โจทก์อยู่ ประกอบกับเอกสารหมาย จ. ๑ ทำขึ้นหลังจากมูลหนี้ค่าจ้างก่อสร้างขาดอายุความไปแล้ว จึงไม่ใช่หนังสือรับสภาพหนี้อันจะทำให้อายุความของมูลหนี้ค่าจ้างก่อสร้างสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๑๔ (๑) แต่มีลักษณะเป็นหนังสือรับสภาพความรับผิดที่จำเลยกระทำเป็นหลักฐานให้แก่โจทก์ เมื่อรับฟังได้ว่า เอกสารหมาย จ. ๑ เป็นหนังสือรับสภาพความรับผิดที่จำเลยรับผิดต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้โดยมีหลักฐานเป็นหนังสืออันก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องแก่โจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๕/๓๕ ซึ่งบัญญัติให้มีอายุความ ๒ ปี นับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิด จำเลยทำเอกสารหมาย จ. ๑ เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ จำเลยต้องรับผิดชำระเงินแก่โจทก์ตามเอกสารหมาย จ. ๑ เมื่อโจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระเงินที่ค้างอยู่อีก ๔๑๔,๔๙๖ บาท เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๔๑ ครบกำหนดชำระในวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๔๑ จำเลยไม่ชำระจึงย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของเงินจำนวนที่ค้างชำระดังกล่าวนับแต่วันดังกล่าวนั้นเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.