คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1088/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยร่วมกันชำระหนี้ให้โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนอง ขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ให้แก่โจทก์ในชั้นบังคับคดีจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดไม่ชอบ เนื่องจากในวันขายทอดตลาดจำเลยทั้งสองได้เข้าพบผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเพื่อนำหลักฐานมาแสดงว่าได้มีการตกลงกับโจทก์ให้งดการบังคับคดีไว้ ซึ่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลก็ได้มีคำสั่งให้เลื่อนการขายทอดตลาดจากเวลา 10 นาฬิกาไปเป็นเวลา 14 นาฬิกาเพื่อให้จำเลยนำหลักฐานมาแสดงและกำชับด้วยว่าให้มาศาลก่อนขายทอดตลาดจำเลยมาศาลเวลา 13.20 นาฬิกา ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดไปแล้วถ้า ข้อเท็จจริงเป็นดัง จำเลยอ้างก็อาจเป็นการขายทอดตลาดที่ไม่ชอบเนื่องจากจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีไม่อยู่ในเวลาขายทอดตลาด การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไปโดยไม่ได้ไต่สวนให้ได้ความชัด เสียก่อนว่า สมควรเพิกถอนการขายทอดตลาดหรือไม่ ดังนี้ต้องยกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไป และสั่งใหม่ตามรูปคดี.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้จำนวน 498,358.95 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปีจนกว่าจำชำรเสร็จ หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ถ้าขายแล้วยังได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์อื่นขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำบังคับเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงยึดที่ดินของจำเลยที่ 1 หนึ่งแปลงและที่ดินตาม น.ส. 3ก. เลขที่ 504 ตำบลลำนารายณ์ อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ของจำเลยที่ 1 อื่นหนึ่งแปลงต่อมาเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2531 ซึ่งเป็นวันนัดขายทอดตลาดที่ดินตาม น.ส. 3ก. เลขที่ 504 จำเลยยื่นคำแถลงขอให้เลื่อนการขายทอดตลาดโจทก์ยื่นคำแถลงขอให้ขายทอดตลาด ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนการขายทอดตลาด และสั่งอนุญาตให้ขายที่ดินดังกล่าวให้นางสุภาพรธรรมวิวัฒน์ ผู้ซื้อทรัพย์ซึ่งให้ราคาสูงสุดเป็นเงิน 375,000 บาท
ต่อมาในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2531 จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่าการขายทอดตลาดที่ดินตาม น.ส. 3ก. เลขที่ 504 เป็นการขายที่ไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนการพิจารณาต่อไป แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
ผู้ซื้อทรัพย์ฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมศาลฎีกาอนุญาตให้นายมงคล โคจรนา เข้าเป็นคู่ความแทน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า การขายทอดตลาดไม่ชอบเพราะในวันขายทอดตลาด จำเลยได้เข้าพบผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเพื่อนำหลักฐานมาแสดงว่าได้มีการตกลงกับโจทก์ให้งดการขายทอดตลาดไว้เนื่องจากจำเลยขอประนอมหนี้กับโจทก์ที่สำนักงานใหญ่แล้ว ซึ่งทางสำนักงานใหญ่จะแจ้งให้สำนักงานที่สาขาลำนารายณ์ทราบ แต่ปรากฏว่าในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2531 ไม่ได้งดการขายทอดตลาด ซึ่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลได้มีคำสั่งให้เลื่นอการขายจากเวลาขายเดิม 10นาฬิกาไปขายเวลา 14 นาฬิกา เพื่อให้จำเลยกลับไปนำหลักฐานมาแสดงแต่กำชับให้จำเลยกลับมาถึงศาลก่อนเวลาขายทอดตลาด จำเลยทั้งสองกลับมาถึงศาลเวลา 13.20 นาฬิกา ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดไปแล้ว จึงมาร้องว่าการขายทอดตลาดไม่ชอบ เนื่องจากจำเลยทั้งสองไม่ได้อยู่ในเวลาที่ขายทอดตลาด เป็นเหตุให้จำเลยไม่มีโอกาสเข้าร่วมประมูลสู้ราคา หรือทำการคัดค้านราคาที่ตกลงขายเพราะผู้ซื้อให้ราคาต่ำไป เห็นว่า หากข้อเท็จจริงเป็นดังจำเลยอ้างก็อาจถือได้ว่าการขายทอดตลาดไม่ชอบเพราะจำเลยเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี ซึ่งมีสิทธิมาอยู่ด้วนในเวลาที่ขายทอดตลาด ประกอบกับตามฎีกาของผู้ซื้อทรัพย์ก็ยอมรับว่า มีการขายทอดตลากเวลา 14นาฬิกา ซึ่งตามประกาสขายทอดตลาดจะต้องขายเวลา 10 นาฬิกาการเลื่อนเวลาไปอาจมีสาเหตุดังที่จำเลยอ้าง ข้ออ้างของจำเลยจึงมีมูลอยู่ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไปโดยไม่ไต่สวนให้ได้ความชัดเสียก่อนว่า ข้อเท็จจริงเป็นดังจำเลยอ้างหรือไม่ และสมควรเพิกถอนการขายทอดตลาดหรือไม่จึงไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะวินิจฉัยคำร้องของจำเลย และพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วสั่งใหม่ตามรูปคดีนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย…”
พิพากษายืน.

Share