คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1088/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ยกกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของโจทก์ในที่ดินโฉนดที่ 530 ให้จำเลย ต่อมาจำเลยทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงอย่างร้ายแรง เป็นการประพฤติเนรคุณ ขอให้ศาลสั่งถอนคืนการให้ จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์ขายให้และไม่ได้ประพฤติเนรคุณ ทางพิจารณาฟังเป็นยุติได้ว่า เป็นเรื่องโจทก์ยกให้มิใช่ขาย และได้ความต่อไปว่า เมื่อบิดาโจทก์จำเลยซึ่งมีชื่อเป็นเจ้าของร่วมในโฉนดดังกล่าวตายลง โจทก์ยื่นขอรับมรดกส่วนของบิดา จำเลยคัดค้านและฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่ง ศาลแพ่งและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แบ่งมรดกของบิดาให้โจทก์ คดีอยู่ระหว่างฎีกา โจทก์ให้คนมาเก็บหมากในที่พิพาทนั้น จำเลยจึงแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ว่าโจทก์ลักหมาก แต่ชั้นนี้ไม่ติดใจเอาเรื่องเพราะโจทก์จำเลยเป็นพี่น้องกัน หมากที่หายราคาเล็กน้อย กับหลักฐานยังไม่เป็นผิด แต่ถ้าเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอีก จะเอาเรื่องให้ตำรวจจัดการต่อไป ต่อมาโจทก์ให้คนมาเก็บหมากอีก จำเลยจึงให้สามีไปแจ้งความ ครั้งสุดท้ายโจทก์ให้คนมาเก็บหมากอีก จำเลยจึงแจ้งตำรวจตู้ยามจับโจทก์หาว่าลักหมาก1ทะลาย ตำรวจจึงควบคุมตัวโจทก์ไว้เพื่อดำเนินคดี ดังนี้ถือได้ว่า จำเลยได้ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงอย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 351(2) เป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ พิพากษาให้ถอนคืนการให้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ยกกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของโจทก์ในที่ดินโฉนดที่530 ให้จำเลย ต่อมาจำเลยและสามีได้สมคบกันแจ้งความต่อตำรวจหาว่าโจทก์ลักหมากในที่ดินดังกล่าว เจ้าพนักงานได้จับกุมคุมขังโจทก์ในข้อหานั้น เป็นการทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงอย่างร้ายแรง และเป็นการประพฤติเนรคุณ ขอให้ศาลสั่งถอนคืนการให้

จำเลยให้การว่า โจทก์ขายให้และที่สามีจำเลยแจ้งตำรวจนั้น จำเลยมีเจตนาเพียงจะยุติการที่โจทก์บุกรุกเข้าไปเอาผลอาสินโดยพลการหามีเจตนาจะให้โจทก์ถูกลงโทษทางอาญาไม่ จำเลยมีความชอบธรรมที่จะกระทำเพื่อรักษาทรัพย์สินของจำเลยได้ และไม่ใช่ประพฤติเนรคุณต่อโจทก์

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ถอนคืนการให้ที่ดินเฉพาะส่วนตามโฉนดที่ 530

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์ยกที่พิพาทส่วนของโจทก์ในโฉนดที่ 530 ให้จำเลย มิใช่ขาย จำเลยมิได้อุทธรณ์ข้อนี้ ดังนั้นความข้อนี้จึงฟังเป็นยุติตามนั้น

แม้โจทก์จะได้ยกที่พิพาทส่วนของโจทก์ให้จำเลยไปแล้ว แต่เมื่อ ม.ร.ว.แจ้วผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดที่ 530 ส่วนหนึ่งและเป็นบิดาของโจทก์จำเลยได้ตายลง ย่อมมีผลให้โจทก์ผู้เป็นบุตรคนหนึ่งได้รับมรดกส่วนของบิดาในที่ดินโฉนดที่ 530 ด้วยตามกฎหมาย แม้จำเลยจะได้คัดค้านถึงกับฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งมิให้โจทก์ได้รับมรดกของบิดาดังกล่าวศาลแพ่งกับศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้โจทก์ได้รับมรดกด้วยส่วนหนึ่ง ผลของคำพิพากษาถือว่าผูกพันคู่ความ ดังนั้น การที่โจทก์เข้าเก็บหมากในที่ดินโฉนดที่ 530 ไม่ว่าจะมีผู้ใดห้ามหรือไม่ ก็แสดงว่าโจทก์เข้าเก็บโดยสุจริตเพราะโจทก์เชื่อว่าโจทก์เป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย การที่จำเลยกับสามีห้ามโจทก์มิให้เข้าเก็บ แม้เพียงหมากราคาเล็กน้อยในที่ดินโฉนดที่ 530 ซึ่งโจทก์เป็นผู้ให้ที่ดินในโฉนดนี้แก่จำเลยเป็นเนื้อที่ตามคำให้การจำเลยถึง 3 งาน 74 ตารางวาเช่นนี้ ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่า จำเลยมีความกตัญญูกตเวทีต่อโจทก์เพียงใดหรือไม่และเมื่อจำเลยกับสามีได้แจ้งความต่อตำรวจหาว่าโจทก์ลักหมากปรากฏในรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันที่ 7 กรกฎาคม 2503 จำเลยเองก็รู้อยู่ว่า ตามหลักฐานยังไม่เป็นผิด แต่จำเลยก็ได้ตั้งเจตนาไว้ในรายงานฯ นั้นว่า ถ้าโจทก์มาเก็บหมากอีกก็จะเอาเรื่องให้ตำรวจจัดการต่อไปและในวันที่ 24 กรกฎาคม 2503 จำเลยก็ไปแจ้งความต่อตำรวจตู้ยามหาว่าโจทก์ลักหมากและมอบให้สามีไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ เป็นผลให้โจทก์ถูกควบคุมตัวไว้เพื่อดำเนินคดีต่อไปตามที่จำเลยตั้งเจตนาไว้ ดังนั้น ที่จำเลยอ้างว่า “หาได้เจตนาจะให้โจทก์ถูกลงโทษทางอาญาไม่” จึงฟังไม่ขึ้นที่ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงอย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 351(2) เป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ และพิพากษาให้ถอนคืนการให้ที่ดิน ฯลฯ จึงมีเหตุสมควร คดีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้ออื่นต่อไป

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ถอนคืนการให้ที่ดินโฉนดที่ 530 เฉพาะส่วนที่โจทก์ยกให้จำเลยดังโจทก์ขอ

Share