คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1018/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยออกเช็ค 10,000 บาท ให้โจทก์ โจทก์นำเช็คไปขอรับเงิน ธนาคารปฎิเสธไม่จ่ายเงิน เพราะจำเลยไม่มีเงินในบัญชีของธนาคาร ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาปรากฎว่า จำเลยมีเงินในบัญชี 232.32 บาท ธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงิน โดยให้โจทก์ไปติดต่อกับผู้สั่งจ่าย ดังนี้ ข้อเท็จจริงที่ปรากฎในทางพิจารณาย่อมแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง แต่ข้อแตกต่างนี้ไม่ใช่ข้อสาระสำคัญและจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ จำเลยจึงต้องมีความผิดดังโจทก์ฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้จ่ายเช็คจำนวนเงิน ๑๐.๐๐๐ บาทให้โจทก์ โจทก์ได้นำเช็คดังกล่าวไปขอรับเงินจากธนาคาร ธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงิน เพราะจำเลยไม่มีเงินในบัญชีของธนาคาร ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.๒๔๙๗ มาตรา ๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.๒๔๙๗ มาตรา ๓ ให้จำคุกจำเลย ๒ เดือน
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไม่มีเงินในบัญชีของธนาคารแต่ข้อเท็จจริงปรากฎว่าจำเลยมีเงินในธนาคาร ๒๓๒.๓๒ บาท ฉะนั้นข้อเท็จจริงในฟ้องจึงแตกต่างกับทางพิจารณาในสารสำคัญ ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.๒๔๙๗ มาตรา ๓ ซึ่งตามมาตรา ๓ นี้มี ๕ อนุมาตรา อนุมาตรา ๒ มีความว่า ผู้ใดออกเช็คโดยในขณะที่ออกไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงใช้หนี้ได้และข้อความในอนุมาตรา ๓ มีใจความว่า ผู้ใดออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็ค ถ้าธนาคารปฏิเสธไม่ยอมจ่ายเงินตามเช็คนั้น ผู้ออกเช็คมีความผิดตามมาตรานี้
เรื่องนี้ปรากฎว่า ธนาคารไม่จ่ายเงินตามเช็ค ๑๐,๐๐๐ บาท ที่จำเลยออกให้โจทก์ โดยทำหนังสือลงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๐๕ ให้โจทก์ไปติดต่อกับผู้สั่งจ่าย(คือจำเลย)ซึ่งโจทก์ก็ได้ให้ทนายทวงหนี้ตามเช็คนั้นจากจำเลยแล้ว ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้ฟ้องโจทก์จะกล่าวว่าจำเลยไม่มีเงินในบัญชี แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฎว่าจำเลยมีเงินอยู่ในบัญชีไม่พอจ่าย ดังนี้ ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาย่อมแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้องแน่ แต่ข้อแตกต่างนี้ก็ไม่ใช่ข้อสารสำคัญ และจะเห็นได้ว่าจำเลยมิได้หลงต่อสู้คดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรค ๒ แต่อย่างใด จำเลยนำสืบก็รับว่าได้ออกเช็ครายนี้ให้โจทก์ เป็นแต่แก้ว่าเพื่อประกันการซื้อปลาทะเลที่จำเลยซื้อจากโจทก์โดยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ ๑๐,๐๐๐ บาท ซึ่งโจทก์เองจะทราบได้อย่างไรว่าจำเลยมีเงินในบัญชีหรือไม่มี แต่ฝ่ายจำเลยย่อมทราบดีว่า แม้ตนจะมีเงินในบัญชีก็มีเพียงจำนวนเล็กน้อย ซึ่งในเรื่องนี้จำเลยมีเงินในบัญชีเพียง ๒๓๒.๓๒ บาท อันเป็นจำนวนที่ไม่พอจ่ายตามเช็คที่ออกให้โจทก์อยู่นั่นเอง จำเลยจึงต้องมีความผิดดังโจทก์ฟ้อง ศาลฎีกาเห็นด้วยในผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฎีกาจำเลย
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย

Share