คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10879/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ผู้เสียหายเข้าไปภายในบริเวณบ้านจำเลย และ ส. เพื่อปรับความเข้าใจเรื่องที่ผู้เสียหายมีปากเสียงกับจำเลย แต่เมื่อ ส. ไล่ให้ผู้เสียหายกลับไป และจำเลยปิดประตูบ้าน จึงเป็นการใช้สิทธิอันชอบธรรมของจำเลย และ ส. ในฐานะเจ้าของบ้านที่จะไล่ให้ผู้เสียหายออกไปจากบริเวณบ้านของตนได้ เมื่อผู้เสียหายไม่ยอมออกไปจากบริเวณบ้าน ถือเป็นการบุกรุกบ้านของจำเลย การที่จำเลยใช้อาวุธมีดโต้ฟันผู้เสียหายจึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย แต่ผู้เสียหายไม่ได้ใช้อาวุธใดจะทำร้ายจำเลย การที่จำเลยใช้มีดโต้ฟันผู้เสียหายหลายครั้ง จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายรับอันตรายสาหัส จึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตาม ป.อ. มาตรา 69
แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตาม ป.อ. มาตรา 288 แต่ความผิดดังกล่าวรวมการกระทำโดยเจตนาทำร้ายด้วยซึ่งเป็นความผิดอยู่ในตัว เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายรับอันตรายสาหัสตาม ป.อ. มาตรา 297 (8) ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 215, 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางสาวจันท์ทา ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่ารักษาพยาบาล 200,000 บาท และค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงานในปัจจุบันและในอนาคต 300,000 บาท รวมเป็นค่าสินไหมทดแทนทั้งสิ้น 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่ง ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และยกคำร้องของผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 72 จำคุก 4 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า ผู้เสียหายและจำเลยต่างเป็นบุคคลรักร่วมเพศ มีจิตใจและความรู้สึกเหมือนผู้ชาย รักใคร่ชอบพอเพศเดียวกัน เดิมผู้เสียหายกับนางสาวสมานเป็นคนรักกันและเคยอยู่กินด้วยกัน แต่ต่อมานางสาวสมานเลิกร้างกับผู้เสียหายและไปอยู่กินกับจำเลยที่บ้านเกิดเหตุ ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยใช้อาวุธมีดโต้ฟันผู้เสียหายหลายครั้ง ทำให้ผู้เสียหายมีบาดแผลฉีกขาดที่คอด้านซ้ายยาว 2 เซนติเมตร บริเวณหนังศีรษะยาว 5 เซนติเมตร บริเวณหลังซ้ายยาว 4 เซนติเมตร ที่มือซ้ายเส้นเอ็นกับเส้นประสาทฉีกขาด และที่มือขวาเส้นเอ็นฉีกขาด เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์
มีปัญหาต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุผลน่าเชื่อว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายเข้าไปภายในบริเวณบ้านของจำเลยและนางสาวสมานเพื่อจะปรับความเข้าใจเรื่องที่ผู้เสียหายมีปากเสียงกับจำเลยเมื่อตอนเช้า แต่ต่อมาเมื่อนางสาวสมานไล่ให้ผู้เสียหายกลับไป และจำเลยปิดประตูบ้านบริเวณห้องครัวกับปิดไฟภายในบ้านและบริเวณบ้านเกิดเหตุทั้งหมด ย่อมเป็นที่เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าจำเลยและนางสาวสมานไม่ประสงค์จะให้ผู้เสียหายอยู่ในบริเวณบ้านเกิดเหตุอีกต่อไป ซึ่งเป็นสิทธิอันชอบธรรมของจำเลยและนางสาวสมานในฐานะเจ้าของบ้านที่จะไล่ให้จำเลยออกไปจากบริเวณบ้านของตนได้ แต่ผู้เสียหายไม่ยอมออกไปจากบริเวณบ้านเกิดเหตุ และยังร้องตะโกนด่าและท้าทายจำเลย พร้อมทั้งใช้ไม้เคาะประตูบ้าน หน้าต่าง และรอบ ๆ บ้าน อยู่นานประมาณครึ่งชั่วโมง ถือเป็นการบุกรุกบ้านของจำเลย แต่ได้ความจากผู้เสียหายว่า เมื่อจำเลยเปิดประตูหน้าบ้านออกมา จำเลยยังถามผู้เสียหายก่อนว่า “มึงมาบ้านกูทำไม” แสดงว่าจำเลยไม่ได้ใช้อาวุธมีดโต้ฟันผู้เสียหายในทันที นอกจากนี้ผู้เสียหายยังทำท่าจะชกจำเลยอีก เชื่อว่าจำเลยไม่ได้สมัครใจทะเลาะวิวาทกับผู้เสียหาย การที่จำเลยใช้อาวุธมีดโต้ฟันผู้เสียหายจึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย แต่ผู้เสียหายไม่ได้ใช้อาวุธใดจะทำร้ายจำเลย การที่จำเลยใช้อาวุธมีดโต้ฟันผู้เสียหายหลายครั้ง จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายรับอันตรายสาหัส จึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน นอกจากนี้เมื่อพิจารณาจากบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับ ปรากฏว่าผู้เสียหายมีบาดแผลฉีกขาดที่คอด้านซ้ายยาว 2 เซนติเมตร บริเวณหนังศีรษะยาว 5 เซนติเมตร และบริเวณหลังซ้ายยาว 4 เซนติเมตร เห็นได้ว่าเป็นบาดแผลที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่าใดนัก ทั้งไม่ปรากฏว่าบาดแผลดังกล่าวมีความลึกเพียงใด ส่วนบาดแผลที่มือซ้ายของผู้เสียหายแม้ได้ความว่าเส้นเอ็นและเส้นประสาทฉีกขาด ส่วนที่มือขวาเส้นเอ็นฉีกขาด แต่ก็ไม่ได้ลึกถึงกระดูก เชื่อว่าจำเลยไม่ได้ฟันผู้เสียหายโดยแรง และแม้จำเลยใช้อาวุธมีดโต้ฟันผู้เสียหายหลายครั้ง แต่เมื่อนางสาวสมานตะโกนห้ามปราม จำเลยก็หยุดฟันผู้เสียหายทันที กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย จำเลยคงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (8)
แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้อื่น แต่ความผิดดังกล่าวรวมการกระทำโดยเจตนาทำร้ายด้วยซึ่งเป็นความผิดอยู่ในตัว เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในฐานความผิดตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 215, 225 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย และเหตุที่จำเลยใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายก็สืบเนื่องจากที่ผู้เสียหายเข้าไปในบริเวณบ้านของจำเลยในยามวิกาลและด่าท้าทายจำเลย พร้อมทั้งใช้ไม้เคาะบ้านของจำเลยอยู่เป็นเวลานานพอสมควรและยังจะทำร้ายจำเลยอีก นับว่าผู้เสียหายมีส่วนผิดอยู่ด้วย ที่ทำให้เกิดเหตุในคดีนี้ขึ้นและจำเลยอดทนอดกลั้นอย่างที่สุดแล้ว ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้โอกาสจำเลยกลับประพฤติตนเป็นพลเมืองดีโดยรอการลงโทษจำคุกให้ แต่เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขเปลี่ยนแปลงตนเองของจำเลย เห็นสมควรกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของจำเลยไว้ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (8) ประกอบมาตรา 69 จำคุก 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง และคุมความประพฤติของจำเลยไว้ 2 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 3 ครั้ง ตามเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร ให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรมีกำหนด 30 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share