แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาล และศาลพิพากษาตามยอมไปแล้ว โจทก์และจำเลยทั้งสองย่อมมีเจตนาตรงกันที่จะให้สัญญาประนีประนอมยอมความสำเร็จลงสมประสงค์ของทั้งสองฝ่าย ข้อความสำคัญของสัญญาประนีประนอมในข้อ 2 คือ จำเลยทั้งสองจะชำระเงินจำนวน 3,900,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสองปฏิบัติการชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์แล้ว ย่อมเป็นอันบรรลุวัตถุประสงค์ตามสัญญาข้อ 2 นั้น ส่วนที่มีข้อความว่า โดยจำเลยทั้งสองจะชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ เมื่อจำเลยทั้งสองสามารถขายที่ดินโฉนดเลขที่ 6244 เรียบร้อยแล้ว หากผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีทันทีนั้นเป็นเพียงการอธิบายขยายความวิธีการชำระหนี้ของจำเลยทั้งสองว่ามีวิธีการหาเงินมาชำระหนี้โดยการขายที่ดิน ข้อความดังกล่าวมิใช่เงื่อนไขการชำระหนี้ และเป็นสัญญาที่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาการชำระหนี้ไว้ จำเลยทั้งสองต้องชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความภายในระยะเวลาอันสมควร การที่จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความจนเวลาล่วงเลยไปนานถึง 7 ปี นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ย่อมเป็นเวลาที่นานเกินสมควร และถือได้ว่าจำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเหตุให้โจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีได้โดยชอบ
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์และจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม ต่อมาโจทก์ยื่นคำขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี อ้างว่า จำเลยทั้งสองผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่โจทก์ขอ
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดี
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องและมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีต่อไป
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 2 มีความหมายชัดเจนว่า จำเลยทั้งสองตกลงชำระเงินให้แก่โจทก์ต่อเมื่อขายที่ดินดังกล่าวได้แล้ว และหากไม่ชำระหนี้ จำเลยทั้งสองย่อมตกเป็นผู้ผิดสัญญาโดยโจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้ทันที เมื่อได้ความว่าจำเลยทั้งสองยังขายที่ดินโฉนดเลขที่ 6244 ตำบลตะฆ่า อำเภอบางปลาม้าจังหวัดสุพรรณบุรี ไม่ได้ จึงมิใช่เรื่องที่จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมอันเป็นเหตุที่จะทำให้โจทก์มีสิทธิบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองได้ ดังนั้นการออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการไม่ชอบ จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนหมายบังคับคดีฉบับลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2548 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้บังคับคดีตามหมายบังคับคดีฉบับลงวันที่ 4พฤษภาคม 2548 ของศาลชั้นต้นต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า การออกหมายบังคับคดีชอบหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวต่อศาล และศาลได้พิพากษาตามยอมไปแล้วนั้น โจทก์และจำเลยทั้งสองย่อมมีเจตนาตรงกันที่จะให้สัญญาประนีประนอมยอมความสำเร็จลงสมประสงค์ของทั้งสองฝ่าย ข้อความสำคัญของสัญญาประนีประนอมดังกล่าวในข้อ 2 คือ จำเลยทั้งสองจะชำระเงินจำนวน 3,900,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสองปฏิบัติการชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ ย่อมเป็นอันบรรลุวัตถุประสงค์ตามสัญญาข้อ 2 นั้น ส่วนที่มีข้อความว่า โดยจำเลยทั้งสองจะชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ เมื่อจำเลยทั้งสองสามารถขายที่ดินโฉนดเลขที่ 6244 ตำบลตะฆ่า อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เรียบร้อยแล้ว หากผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีทันที นั้นเป็นเพียงการอธิบายขยายความวิธีการชำระหนี้ของจำเลยทั้งสองว่ามีวิธีหาเงินมาชำระหนี้โดยการขายที่ดิน ข้อความดังกล่าวมิใช่เงื่อนไขการชำระหนี้ และเป็นสัญญาที่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาการชำระหนี้ไว้ จำเลยทั้งสองต้องชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความภายในระยะเวลาอันสมควร การที่จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความจนเวลาล่วงเลยไปนานถึง 7 ปี นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ย่อมเป็นระยะเวลาที่นานเกินสมควร และถือได้ว่า จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเหตุให้โจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีได้โดยชอบ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ