แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 และจำเลย 5 โดยระบุตำแหน่งหน้าที่การงานมาด้วย ให้รับผิดต่อโจทก์ในการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหาย เป็นการฟ้องให้รับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัว ที่โจทก์กล่าวถึงตำแหน่งหน้าที่การงานของจำเลยมาด้วยนั้นก็เพื่อให้นายจ้างและกรมเจ้าสังกัดของจำเลยต้องร่วมรับผิดในการกระทำของจำเลย
โจทก์ขอซื้อตั๋วแลกเงิน 3 ฉบับจากธนาคารออมสิน สาขาปทุมวัน ซึ่งเป็นสาขาของจำเลยที่ 1 ส่งไปให้ ท. ที่จังหวัดสตูลโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนแต่หายไป โจทก์ได้แจ้งความต่อตำรวจและขออายัดเงินที่ธนาคารออมสิน สาขาปทุมวัน แต่ปรากฏว่ามีผู้ขอรับเงินตามตั๋วแลกเงินแล้ว 2 ฉบับ โดยไปรับเงินจากธนาคารออมสิน สาขาศรีราชาและสาขาหนองมน ก่อนโจทก์แจ้งอายัดตั๋วแลกเงินที่มีผู้รับเงินไปแล้วนั้นมีรอยต่อเติมชื่อและนามสกุลของ ท. ในช่องจ่ายซึ่งมองเห็นได้ชัดทั้งสีหมึกและรอยต่อเติมตัวอักษร การจ่ายเงินของผู้จัดการธนาคารออมสิน สาขาศรีราชาและสาขาหนองมน จึงเป็นไปด้วยความประมาทเลินเล่อในฐานะที่มีหน้าที่จะต้องใช้ความระมัดระวังในการจ่ายเงินจำเลยที่ 2 ผู้จัดการสาขาธนาคารออมสินของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินไปจึงต้องรับผิด และจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดร่วมด้วย
โจทก์ส่งตั๋วแลกเงินพร้อมกับจดหมายไปให้ ท. โดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียน แต่มิได้แจ้งการส่งตั๋วแลกเงินให้จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นนายไปรษณีย์ทราบ จำเลยที่ 5 มีหน้าที่รับผิดชอบแต่เฉพาะไปรษณีย์ภัณฑ์ที่ส่งไปหายเท่านั้น ซึ่งตามระเบียบกรมไปรษณีย์โทรเลขรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายให้ฉบับละ 40 บาท แต่โจทก์มิได้ฟ้องเรียกร้องค่าไปรษณีย์ภัณฑ์ที่สูญหาย หากแต่เรียกร้องเงินตามตั๋วแลกเงินที่สูญหายไป ซึ่งจำเลยที่ 5 ไม่มีหน้าที่จะต้องรู้และรับผิดในวัตถุอันมีค่าที่บรรจุอยู่ในไปรษณีย์ภัณฑ์นั้น การที่ตั๋วแลกเงินของโจทก์สูญหายไป เป็นความเสียหายที่จำเลยที่ 5 ไม่สามารถจะคาดเห็นได้จำเลยที่ 5 จึงไม่ต้องรับผิด อันเป็นผลถึงกรมไปรษณีย์โทรเลขจำเลยที่ 4 ด้วย
คำบรรยายฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล ประกอบกิจการธนาคารชื่อธนาคารออมสิน จำเลยที่ 2,3 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2มีหน้าที่เป็นผู้จัดการธนาคารออมสิน สาขาศรีราชา จำเลยที่ 3เป็นผู้จัดการธนาคารออมสิน สาขาหนองมน จำเลยที่ 2,3 ได้กระทำการในทางการที่จ้างโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์เสียหายจำเลยที่ 4 เป็นกรมในกระทรวงคมนาคม เป็นนิติบุคคล มีหน้าที่ประกอบกิจการไปรษณีย์โทรเลขสื่อสารโทรคมนาคมจำเลยที่ 5 เป็นข้าราชการพนักงานของจำเลยที่ 4 ซึ่งกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ซื้อตั๋วแลกเงิน 3 ฉบับ จากธนาคารออมสินสาขาปทุมวัน สาขาของจำเลยที่ 1 ส่งไปให้นายทินกร อาธารมาศที่จังหวัดสตูล โดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียน จำเลยที่ 5 ปล่อยปละละเลยเป็นเหตุให้ไปรษณีย์ภัรฑ์ดังกล่าวหายไป และมิได้ติดต่อแจ้งให้โจทก์หรือนายทินกรทราบทันท่วงที หรือร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนภายหลังโจทก์ได้แจ้งความต่อตำรวจและขออายัดเงินที่ธนาคารออมสินสาขาปทุมวัน แต่ปรากฏว่ามีผู้ขอรับเงินตามตั๋วแลกเงินแล้ว 2 ฉบับโดยไปรับเงินจากธนาคารออมสิน สาขาศรีราชา และสาขาหนองมนก่อนโจทก์แจ้งอายัด ทั้งนี้ โดยคนร้ายได้ปลอมแปลงชื่อนายทินกรอาธารมาศ เป็นทินศรี อ่ำธารีมาศต์ ซึ่งเห็นได้ชัดเจน จำเลยที่ 2,3ได้จ่ายเงินไปโดยทุจริต หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้ารับผิดชดใช้เงินตามตั๋วแลกเงินรวม 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 1,2,4 และ 5 ให้การว่า เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 4ได้รับฝากเพียงจดหมายลงทะเบียน มิได้รับฝากตั๋วแลกเงิน จำเลยที่ 4, 5 มิได้ประมาทเลินเล่อ ส่วนจำเลยที่ 2 ได้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินไปตามทางการค้าปกติโดยสุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัว มิใช่ฟ้องในต่ำแหน่ง จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิด และโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 5 กระทำไปในหน้าที่ราชการ จำเลยที่ 5 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 4, 5 ร่วมกันใช้เงิน20,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ 1, 2
โจทก์และจำเลยที่ 4, 5 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1, 2, 4, 5 ร่วมกันรับผิดชดใช้เงินตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแก่โจทก์
จำเลยที่ 1, 2, 4, 5 ฎีกา
ในประเด็นที่ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 5 ในฐานะส่วนตัวหรือว่าในฐานะจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 5เป็นเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 4 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยที่ 2 เป็นพนักงานลูกจ้างของจำเลยที่ 1มีหน้าที่เป็นผู้จัดการธนาคารออมสิน สาขาศรีราชา ได้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินซึ่งโจทก์ซื้อมาจากธนาคารออมสิน สาขาปทุมวัน จำเลยที่ 2ได้กระทำการไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างจึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ในความเสียหายที่เกิดขึ้นสำหรับจำเลยที่ 5 โจทก์ก็บรรยายว่าจำเลยที่ 5 เป็นข้าราชการของจำเลยที่ 4 มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งในบังคับบัญชาของจำเลยที่ 4 มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องไปรษณีย์ภัณฑ์ จำเลยที่ 5 โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อปล่อยปละละเลยเป็นเหตุให้ไปรษณีย์ภัณฑ์ซึ่งอยู่ในความครอบครองดูแลของจำเลยที่ 5 หาย ทำให้โจทก์เสียหาย ซึ่งจำเลยที่ 4 จะต้องร่วมรับผิดด้วย จากคำบรรยายฟ้องดังกล่าวจะเห็นได้ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 5 ให้รับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัวในการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหาย ที่โจทก์กล่าวถึงตำแหน่งหน้าที่การงานของจำเลยทั้งสองมาด้วยก็เพื่อให้นายจ้างและกรมเจ้าสังกัดของจำเลยต้องร่วมรับผิดในการกระทำของจำเลยดังกล่าวแล้ว
ในประเด็นที่ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ได้บรรยายสภาพแห่งข้อหากล่าวถึงไปรษณีย์ภัณฑ์ที่มีตั๋วแลกเงิน 3 ฉบับ อยู่ในซองจดหมาย โจทก์ได้ส่งไปรษณีย์ภัณฑ์ฉบับนี้ไปทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ซึ่งจำเลยที่ 4 มีหน้าที่ดูแลรักษาแต่ปล่อยปละละเลยทำให้ไปรษณีย์ภัณฑ์ที่โจทก์ส่งไปหาย สำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 โจทก์ก็บรรยายว่าตั๋วแลกเงินได้มีการปลอมแปลงชื่อ โดยโจทก์ระบุสั่งจ่ายนายทินกร อาธารมาศ แต่มีการแก้ชื่อเป็นนายทินศรี อ่ำธารีมาศต์ ซึ่งการปลอมแปลงนี้เห็นได้ชัดเจนการจ่ายเงินของจำเลยที่ 2 เป็นการประมาทเลินเล่อ ฟ้องของโจทก์บรรยายชัดถึงสภาพแห่งข้อหา จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุมดังที่จำเลยฎีกา
ในประเด็นที่ว่า จำเลยที่ 4, 5 จะต้องรับผิดเพียงใดนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ได้ส่งตั๋วแลกเงิน 3 ฉบับ พร้อมกับจดหมายของโจทก์ไปให้นายทินกร อาธารมาศ โดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียน โจทก์ไม่ได้แจ้งการส่งตั๋วแลกเงินโดยทางไปรษณีย์ให้จำเลยที่ 5 ทราบ จำเลยที่ 5 มีหน้าที่รับผิดชอบแต่เฉพาะไปรษณีย์ภัณฑ์ที่ส่งไปหายเท่านั้น แต่โจทก์มิได้ฟ้องเรียกร้องค่าไปรษณีย์ภัณฑ์ที่สูญหาย หากแต่เรียกร้องเงินตามตั๋วแลกเงินที่สูญหายไป ซึ่งจำเลยที่ 5 ไม่มีหน้าที่จะต้องรู้และรับผิดในวัตถุอันมีค่าที่บรรจุอยู่ในไปรษณีย์ภัณฑ์นั้น การที่ตั๋วแลกเงินทั้ง 3 ฉบับ ของโจทก์สูญหายไป ความเสียหายในเรื่องตั๋วแลกเงินหายในคดีนี้ เป็นความเสียหายที่จำเลยที่ 5 ไม่สามารถจะคาดเห็นได้จำเลยที่ 5 จึงไม่ต้องรับผิดอันเป็นผลถึงจำเลยที่ 4 ด้วย
ในประเด็นที่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 1,2 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์มีนายทินกรผู้จัดการธนาคารออมสิน สาขาสตูล ซึ่งย้ายไปอยู่สาขาห้วยยอด มาเบิกความว่า ได้ดูหลักฐานในตั๋วแลกเงิน 2 ฉบับ ที่มีผู้มาขอรับเงินไปแล้วได้ชี้แจ้งให้นายสืบพงษ์หัวหน้ากองตั๋วแลกเงินทราบว่ามีรอยต่อเติมชื่อและนามสกุลของนายทินกรในช่องจ่ายซึ่งมองเห็นได้ชัด โดยสีหมึกไม่เหมือนกันและอักษรบางตัวมีรอยต่อเติมเห็นได้ชัด เช่น ตัว ก.ต่อเติมเป็นตัว ศ. จากคำเบิกความของนายสืบพงษ์หัวหน้ากองตั๋วแลกเงินธนาคารออมสิน พยานของจำเลยเองก็ว่า พอดูสีหมึกที่เขียนชื่อในตั๋วแลกเงินนั้นก็รู้ว่าสีต่างกัน ถ้าตอนแรกดู เห็นได้ว่าสีหมึกไม่เหมือนกันตรงที่เขียนชื่อธนาคารก็ไม่จ่ายเงินให้ หากจ่ายไป ธนาคารก็ต้องรับผิด จึงฟังได้ว่าการจ่ายเงินของผู้จัดการธนาคารออมสิน สาขาศรีราชา และผู้จัดการธนาคารออมสิน สาขาหนองมน เป็นไปด้วยความประมาทเลินเล่อ ถ้าได้ใช้ความระมัดระวังตรวจดูชื่อของผู้มีสิทธิรับเงิน ก็จะเห็นว่ามีการแก้ไขเพิ่มเติมชื่อ เนื่องจากการแก้ไขเพิ่มเติมนี้เห็นได้ง่ายในฐานะที่มีหน้าที่จะต้องใช้ความระมัดระวังในการจ่ายเงินจำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิด และจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดร่วมด้วย
พิพากษาแก้ เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1, 2 ร่วมกันรับผิดใช้เงินตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแก่โจทก์ ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 4,5 ให้ยก