คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยอ้างว่า การดำเนินคดีของโจทก์ตั้งแต่ฟ้องจนมีการบังคับคดี จำเลยไม่ทราบเพราะจำเลยไปอยู่ที่อื่นเพิ่งทราบเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำเลยในวันที่ 7 เมษายน 2511 แล้วในวันที่ 22 เดือนเดียวกัน จำเลยก็ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ จึงเป็นการยื่นคำขอภายใน 15 วันนับแต่วันที่จำเลยทราบถึงการยึดทรัพย์ เพราะก่อนนั้นเป็นเวลาที่จำเลยยังไม่ทราบอันเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้(อ้างฎีกาที่ 1296/2510)
แม้ศาลยังมิได้อนุญาตในการที่จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ แต่โจทก์ก็ได้ขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดีข้ามชั้นไม่เรียกตามลำดับในคำพิพากษาคือ ศาลพิพากษาให้จำเลยโอนขายที่ดินให้โจทก์และให้จำเลยรับเงินที่ยังเหลือ 2,000 บาทจากโจทก์ หากจำเลยไม่จัดการโอน ให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 13,000 บาท และให้จำเลยเสียค่าปรับอีก 13,000 บาทแก่โจทก์ จึงต้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินและรับเงินจากโจทก์เสียก่อน แต่โจทก์กลับขอให้ยึดที่ดินของจำเลยขาดทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ทีเดียวและศาลชั้นต้นได้สั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลย จึงเป็นการปฏิบัติที่มิได้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาเป็นชั้น ๆ จึงเป็นกรณีที่ดำเนินการบังคับคดีผิดไปจากคำพิพากษาศาลมีอำนาจสั่งเพิกถอนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27

ย่อยาว

คดีนี้ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนขายที่ดินให้โจทก์และให้จำเลยรับเงินที่ค้าง ๒,๐๐๐ บาทไปจากโจทก์ หากจำเลยไม่จัดการโอนให้จำเลยคืนเงินมัดจำ ๑๓,๐๐๐ บาท ให้โจทก์และให้จำเลยเสียค่าปรับ ๑๓,๐๐๐ บาทให้โจทก์ด้วย
ศาลชั้นต้นออกคำบังคับแต่ส่งไม่ได้จึงปิดคำบังคับไว้ ครบกำหนดจำเลยไม่ปฏิบัติตาม โจทก์รองขอให้ยึดทรัพย์จำเลยมาขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์ จำเลยยื่นคำร้องว่า ไม่ได้จงใจขาดนัด ขอให้ศาลไต่สวนคำร้องและมีคำสั่งรับคำให้การ และให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่
ต่อมา จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งยกเลิกการบังคับคดี และสั่งให้ดำเนินการบังคับคดีตามคำขอท้ายฟ้องข้อ ๑ คือ ให้โจทก์รับโอนที่ดินตามคำพิพากษาก่อนและให้รอการไต่สวนคำร้องขอให้พิจาณราคดีใหม่ ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ภายใน ๑๕ วันแล้ว และให้เพิกถอนการบังคับคดี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ปรากฏตามคำร้องของจำเลยว่า การดำเนินคดีนี้ของโจทก์ ตั้งแต่ฟ้องจนกระทั่งมีการบังคับคดีนั้น จำเลยไม่ทราบ เพราะจำเลยไปอยู่ที่อื่น จำเลยเพิ่งทราบเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำเลยในวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๑๑ แล้วในวันที่ ๒๒ เดือนเดียวกัน จำเลยก็ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ จึงเป็นการยื่นคำขอภายในเวลา ๑๕ วันนับแต่วันที่จำเลยทราบถึงการยึดทรัพย์เพราะก่อนนั้นเป็นเวลาที่จำเลยยังไม่ทราบ อันถือว่าเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๙๖/๒๕๑๐
ส่วนฎีกาประเด็นข้อ ๒ ว่า ศาลจะสั่งเพิกถอนการบังคับคดีได้หรือไม่เห็นว่า ในเรื่องนี้ แม้ศาลยังมิได้มีคำสั่งอนุญาตในการที่จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ก็จริง แต่โจทก์ก็ได้ขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดีข้ามชั้นไม่เรียงตามลำดับในคำพิพากษา คือ ศาลพิพากษาให้จำเลยโอนขายที่ดินให้โจทก์และให้จำเลยรับเงินที่ยังเหลือ ๒,๐๐๐ บาทจากโจทก์ หากจำเลยไม่จัดการโอน ให้จำเลยคืนเงินมัดจำ ๑๓,๐๐๐ บาท และให้จำเลยเสียค่าปรับอีก ๑๓,๐๐๐ บาทแก่โจทก์เช่นนี้ จึงต้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินและรับเงินจากโจทก์เสียก่อน แต่โจทก์หาได้ขอให้ศาลบังคับจำเลยดังกล่าวไม่ โดยโจทก์ขอให้บังคับคดียึดที่ดินของจำเลยขาดทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ทีเดียว และศาลชั้นต้นได้ส่งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยตามที่โจทก์ขอ จึงเป็นการปฏิบัติที่มิได้ดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาเป็นขั้นๆ ไป ทั้งๆ ที่ดินนั้นจึงเป็นของจำเลยและสามารถโอนให้โจทก์ได้ นับได้ว่าเป็นกรณีที่ดำเนินการบังคับคดีผิดไปจากคำพิพากษา ซึ่งศาลย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗ และเรื่องนี้คู่ความคือจำเลยซึ่งเป็นผู้เสียหายก็ได้ยื่นคำขอให้เพิกถอนแล้ว และศาลชั้นต้นได้สั่งเพิกถอนไปแล้ว
พิพากษายืน

Share