คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10855/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2538 จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ว่าจำเลยค้างชำระค่าไม้แปรรูปที่ซื้อจากโจทก์ที่ 1 จำนวน 600,000 บาท และค้างชำระค่าวัสดุก่อสร้างที่ซื้อจากโจทก์ที่ 2 จำนวน 400,000 บาท จำเลยจะชำระเงินดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสองเสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2539 เมื่อถึงกำหนดจำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ดังนี้ คำฟ้องโจทก์ทั้งสองได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ คือจำเลยเป็นหนี้โจทก์ทั้งสอง ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นคือหลักฐานหนังสือรับสภาพหนี้จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว ข้อที่ว่าจำเลยซื้อสินค้าและค้างชำระตั้งแต่เมื่อใดเป็นเงินเท่าใด ส่งมอบสินค้าแก่ผู้ใด ล้วนเป็นรายละเอียดที่คู่ความสามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ คำฟ้องโจทก์ทั้งสองจึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้า จำเลยสั่งซื้อไม้แปรรูปและวัสดุก่อสร้างจากโจทก์ตั้งแต่ปลายปี 2535 ถึงต้นปี 2536 จำเลยไม่ชำระค่าสินค้า ซึ่งอายุความให้ชำระหนี้ค่าของที่ได้ส่งมอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 มีกำหนด2 ปี และอายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามมาตรา 193/12 คือนับตั้งแต่ปลายปี 2535 ถึงต้นปี 2536 ซึ่งเป็นเวลาส่งมอบสินค้า จำเลยทำบันทึกข้อตกลงยอมรับชำระหนี้แก่โจทก์ลงวันที่ 16 ธันวาคม 2538 เกินกำหนด2 ปี นับตั้งแต่โจทก์ส่งมอบสินค้าให้จำเลย จึงไม่เป็นหนังสือรับสภาพหนี้ ซึ่งจะเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 แต่เป็นหลักฐานที่จำเลยรับสภาพความรับผิดตามมาตรา 193/28 วรรคสอง ซึ่งมีผลให้สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นจากการที่จำเลยรับสภาพความรับผิดมีกำหนดอายุความ 2 ปี นับตั้งแต่วันทำบันทึกข้อตกลงตามมาตรา 193/35 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2539 จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2538 จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ว่าจำเลยค้างชำระค่าไม้แปรรูปที่ซื้อจากโจทก์ที่ 1 จำนวน 600,000 บาท และค้างชำระค่าวัสดุก่อสร้างที่ซื้อจากโจทก์ที่ 2 จำนวน 400,000 บาท รวมค้างชำระโจทก์ทั้งสอง 1,000,000 บาท จำเลยจะชำระเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสองเสร็จสิ้นภายในวันที่ 31พฤษภาคม 2539 หากจำเลยไม่ชำระภายในกำหนดดังกล่าว ยินยอมให้โจทก์ทั้งสองยึดบังกะโลเขาทองรีสอร์ทพร้อมที่ดินในหมู่ที่ 3 ตำบลเขาทอง อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่เนื้อที่ประมาณ 25 ไร่ ออกขายทอดตลาด นำเงินชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองจนครบ เมื่อครบกำหนดเวลาชำระเงินตามหนังสือรับสภาพหนี้ จำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ทั้งสอง หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ทั้งสองจนครบ

จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ทั้งสองเคลือบคลุม เพราะโจทก์ทั้งสองไม่ได้บรรยายว่าจำเลยซื้อสินค้าและค้างค่าชำระสินค้าแก่โจทก์ทั้งสองเมื่อใดเป็นจำนวนเงินเท่าใด ได้ส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ใด และไม่ได้แสดงหลักฐานการซื้อขายและรับมอบสินค้าระหว่างจำเลยกับโจทก์ทั้งสอง ทำให้จำเลยไม่อาจเข้าใจข้อหาได้ ฟ้องของโจทก์ทั้งสองขาดอายุความเพราะหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวทำขึ้นหลังจากซื้อขายสินค้า 2 ปี ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ทั้งสอง กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสองโดยกำหนดค่าทนายความรวม 15,000 บาท คำขออื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ทั้งสอง 5,000 บาท

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์ทั้งสองเคลือบคลุมหรือไม่นั้น เห็นว่าตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสองได้บรรยายว่า เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2538 จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ว่าจำเลยค้างชำระค่าไม้แปรรูปที่ซื้อจากโจทก์ที่ 1 จำนวน 600,000 บาท และค้างชำระค่าวัสดุก่อสร้างที่ซื้อจากโจทก์ที่ 2 จำนวน 400,000 บาท รวมค้างชำระโจทก์ทั้งสอง 1,000,000 บาท จำเลยจะชำระเงินดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสองเสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2539 เมื่อถึงกำหนดจำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ดังนี้ คำฟ้องโจทก์ทั้งสองได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับคือจำเลยเป็นหนี้โจทก์ทั้งสอง ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นคือหลักฐานหนังสือรับสภาพหนี้ฉะนั้น คำฟ้องโจทก์ทั้งสองจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว ที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ทั้งสองไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยซื้อสินค้าและค้างชำระตั้งแต่เมื่อใด เป็นเงินเท่าใด ส่งมอบสินค้าแก่ผู้ใด ล้วนเป็นรายละเอียดที่คู่ความสามารถนำสืบในชั้นพิจารณาของศาลได้ คำฟ้องโจทก์ทั้งสองจึงไม่เคลือบคลุม…

ปัญหาว่าฟ้องโจทก์ทั้งสองขาดอายุความหรือไม่นั้น โจทก์ทั้งสองนำสืบได้ความว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ประกอบการค้า จำเลยสั่งซื้อไม้แปรรูปและวัสดุก่อสร้างจากโจทก์ทั้งสองตั้งแต่ปลายปี 2535 ถึงต้นปี 2536 จำเลยไม่ชำระค่าสินค้า ซึ่งอายุความให้ชำระหนี้ค่าของที่ได้ส่งมอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 มีกำหนด2 ปี และอายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามมาตรา 193/12 คือนับตั้งแต่ปลายปี 2535 ถึงต้นปี 2536 ซึ่งเป็นเวลาส่งมอบสินค้าจำเลยทำบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.1 ยอมรับชำระหนี้ค่าซื้อไม้แปรรูปและวัสดุก่อสร้างโจทก์ทั้งสอง ลงวันที่ 16 ธันวาคม 2538 เกินกำหนดระยะเวลา 2 ปี นับตั้งแต่โจทก์ทั้งสองส่งมอบสินค้าให้จำเลยจึงไม่เป็นหนังสือรับสภาพหนี้ ซึ่งจะเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 แต่หนังสือดังกล่าวเป็นหลักฐานที่จำเลยผู้เป็นลูกหนี้รับสภาพความรับผิดตามมาตรา 193/28 วรรคสอง ซึ่งมีผลให้สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นจากการที่จำเลยรับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือดังกล่าวมีกำหนดอายุความ 2 ปี นับตั้งแต่วันทำบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.1 ตามมาตรา 193/35 โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2539 คดีโจทก์ทั้งสองจึงไม่ขาดอายุความจำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามฟ้องแก่โจทก์ทั้งสอง ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ”

Share