แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ โดยอ้างว่าจำเลยปลอมหนังสือมอบอำนาจไปจดทะเบียนว่าโจทก์ให้ทรัพย์สินที่พิพาทแก่จำเลย และมาฟ้องคดีนี้ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเชียงใหม่ อ้างว่าโจทก์ทำสัญญาให้ทรัพย์สินที่พิพาทแก่จำเลยซึ่งแสดงว่าจำเลยไม่ได้ปลอมหนังสือมอบอำนาจ การกระทำของโจทก์ตามข้ออ้างในคดีทั้งสองเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่แตกต่างและขัดกัน ซึ่งหากศาลจังหวัดเชียงใหม่เห็นว่าเป็นการปลอมหนังสือมอบอำนาจ ไม่ใช่การให้ทรัพย์สินพิพาทแก่จำเลย โจทก์ก็ชนะคดีที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ แต่หากศาลจังหวัดเชียงใหม่เห็นว่าไม่เป็นการปลอมเอกสาร ย่อมมีผลโดยปริยายว่าเป็นการให้อันเป็นประโยชน์แก่คดีนี้ จึงเป็นการดำเนินคดีที่โจทก์มุ่งประสงค์ต่อผลให้โจทก์ชนะคดีแน่นอนไม่ว่าศาลใดศาลหนึ่ง โดยไม่คำนึงถึงข้อความจริงซึ่งโจทก์ย่อมรู้ดี และเมื่อพิจารณาถึงคดีที่โจทก์ฟ้องต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่อ้างเหตุว่าจำเลยปลอมเอกสารอันอาจเป็นมูลเหตุให้จำเลยถูกดำเนินคดีอาญาข้อหาปลอมแปลงเอกสารด้วยแล้ว ถือได้ว่าโจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริต โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 79051 ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างคืนโจทก์ มิฉะนั้นให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาให้ส่งมอบทรัพย์สินดังกล่าวและโฉนดที่ดิน มิฉะนั้นให้จำเลยชดใช้ราคาเป็นเงิน 2,200,000 บาท
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยฎีกาของโจทก์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 5 ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยาตามกฎหมาย ระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยา มีการจดทะเบียนโอนทรัพย์สินที่พิพาทซึ่งมีชื่อของโจทก์เป็นชื่อของจำเลย ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ว่า การจดทะเบียนโอนทรัพย์สินที่พิพาทดังกล่าวเป็นโมฆะเพราะจำเลยปลอมหนังสือมอบอำนาจ ระหว่างการพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ศาลจังหวัดเชียงใหม่มีคำสั่งไม่อนุญาต โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีก เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่และฟ้องต่อศาลชั้นต้นขอให้บังคับจำเลยเกี่ยวกับทรัพย์สินที่พิพาท โดยอ้างในคดีที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ว่า จำเลยปลอมหนังสือมอบอำนาจไปจดทะเบียนว่าโจทก์ยกให้ทรัพย์สินที่พิพาทแก่จำเลย แล้วอ้างในคดีนี้ว่า โจทก์ทำสัญญาให้ทรัพย์สินที่พิพาทแก่จำเลยซึ่งแสดงว่าจำเลยไม่ได้ปลอมหนังสือมอบอำนาจ การกระทำของโจทก์ตามข้ออ้างในคดีทั้งสองจึงเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่แตกต่างกันอย่างยิ่งและขัดกันเองอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งโจทก์เป็นผู้ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวย่อมทราบดีว่ามอบให้จำเลยไปดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินที่พิพาทอย่างไร การที่โจทก์นำคดีฟ้องต่อศาลสองศาลที่มีเขตอำนาจต่างกัน อ้างเหตุซึ่งเป็นข้อเท็จจริงแตกต่างขัดแย้งกันดังกล่าว ซึ่งเห็นได้ชัดว่าหากศาลจังหวัดเชียงใหม่เห็นว่าเป็นการปลอมหนังสือมอบอำนาจ ไม่ใช่การให้ทรัพย์สินพิพาทแก่จำเลย โจทก์ก็ชนะคดีที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ แต่ถ้าศาลจังหวัดเชียงใหม่เห็นว่าไม่เป็นการปลอมเอกสาร ย่อมมีผลโดยปริยายว่าเป็นการให้ อันเป็นประโยชน์แก่โจทก์คดีนี้ที่จะทำให้ศาลรับฟังว่าเป็นการยกให้ดังที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคดีนี้ จึงเป็นการดำเนินคดีที่โจทก์มุ่งประสงค์ต่อผลให้โจทก์ชนะคดีแน่นอนไม่ว่าศาลใดศาลหนึ่งในสองศาลนี้ โดยโจทก์หาได้คำนึงถึงข้อความจริงซึ่งโจทก์เองรู้ดีอยู่แก่ใจไม่ และเมื่อพิจารณาถึงคดีที่โจทก์ฟ้องต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่อ้างเหตุจำเลยปลอมเอกสารอันอาจเป็นมูลเหตุให้จำเลยถูกดำเนินคดีอาญาข้อหาปลอมแปลงเอกสารด้วยแล้ว เห็นได้ชัดว่า โจทก์มาศาลโดยการใช้สิทธิที่ไม่สุจริต ข้อที่โจทก์อ้างในฎีกาว่า โจทก์ฟ้องผิดศาลและผิดข้อหาเนื่องจากได้รับคำแนะนำที่ผิดพลาดจากทนายความนั้น ฟังไม่ขึ้นเพราะโจทก์รู้ดีอยู่ว่าความจริงเป็นเช่นไร ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่า โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องมานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ