แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาเช่าสิทธิขายอาหารและสิ่งพิมพ์ประจำสถานีรถไฟ ไม่ใช่สัญญาที่ให้สิทธิโจทก์ขายอาหารและสิ่งพิมพ์บริเวณสถานีรถไฟเพียงอย่างเดียว หากแต่ให้สิทธิโจทก์ใช้ประโยชน์ในลักษณะเป็นผู้ครอบครองส่วนที่เป็นบริเวณร้านขายอาหารและเคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์ด้วย ดังนั้น จำเลยที่ 1 จะเข้าปรับปรุงส่วนที่เป็นสถานที่เช่าโดยปราศจากความยินยอมของโจทก์ไม่ได้ แต่การที่ฝ่ายจำเลยเข้าทุบร้านขายอาหารและเคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์โดยโจทก์ไม่ได้โต้แย้งห้ามปราม แต่กลับขอให้จำเลยที่ 1 ลดค่าเช่าให้เนื่องจากไม่สามารถทำการค้าได้ตามปกติ พฤติการณ์มีเหตุเชื่อได้ว่าโจทก์ยินยอมอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ดำเนินการได้ จำเลยที่ 1 จึงไม่ผิดสัญญาในส่วนนี้ แต่เมื่อปรับปรุงอาคารเสร็จ เคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์ถูกดัดแปลงเป็นห้องประชาสัมพันธ์ และจำเลยที่ 1 เข้าครอบครองใช้ประโยชน์ เป็นเหตุให้โจทก์ไม่อาจครอบครองใช้ประโยชน์สถานที่เช่าตามสัญญาได้อีก จำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา
จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 กระทำการในฐานะเป็นตัวแทนเพื่อประโยชน์ในกิจการของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดเป็นการส่วนตัว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงิน ๑,๐๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมค่าเสียหายเดือนละ ๔๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ห้ามมิให้จำเลยทั้งสองกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนหรือรอนสิทธิของโจทก์ตามสัญญาเช่า และให้คืนเงินมัดจำแก่โจทก์เมื่อสัญญาสิ้นสุดลง
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์วันละ ๑๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๐ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๑,๒๐๐ บาท
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันรับฟังได้ว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าสิทธิขายอาหารและสิ่งพิมพ์ประจำสถานีรถไฟนครราชสีมากับจำเลยที่ ๑ ค่าเช่ารวมค่าภาษีโรงเรือนเดือนละ ๑๑๒,๖๑๒.๕๐ บาท มีกำหนดระยะเวลาเช่า ๕ ปี นับแต่วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๓๕ จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าพนักงานจำเลยที่ ๑ ในตำแหน่งหัวหน้ากองจัดการเดินรถเขต ๒ โจทก์ขายอาหารและสิ่งพิมพ์ในบริเวณสถานีรถไฟนครราชสีมานับแต่วันทำสัญญาติดต่อกันเรื่อยมากระทั่งวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ปรับปรุงอาคารสถานีรถไฟนครราชสีมาเพื่อรับงานแสดงสินค้า โจทก์ย้ายเคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์ไปยังบริเวณหน้าร้านขายอาหาร เมื่อการปรับปรุงอาคารแล้วเสร็จ เคาน์เตอร์ดังกล่าวมีสภาพเป็นห้องประชาสัมพันธ์ มีปัญหาวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่ สัญญาเช่าสิทธิกล่าวถึงสิทธิและหน้าที่ของโจทก์เกี่ยวกับสถานที่เช่าไว้ในข้อ ๖ ว่า โจทก์จะรักษาที่เช่าให้คงอยู่ในสภาพเรียบร้อย และจะรักษาความสะอาดโดยกวดขัน
ข้อ ๙ โจทก์จะไม่ปลูกขึ้นใหม่ หรือปลูกสร้างต่อเติมส่วนหนึ่งส่วนใดขึ้นในสถานที่เช่า
ข้อ ๑๐ โจทก์ต้องยอมให้จำเลยที่ ๑ หรือพนักงานจำเลยที่ ๑ เข้าตรวจสถานที่เช่าได้ทุกเมื่อ
ข้อ ๑๒ โจทก์จะไม่ให้ผู้อื่นเช่าช่วง ดังนี้เป็นต้น สัญญาเช่าสิทธิดังกล่าว จึงมิใช่สัญญาที่ให้สิทธิโจทก์ขายอาหารและสิ่งพิมพ์ในบริเวณสถานีรถไฟนครราชสีมาตามที่จำเลยที่ ๑ กำหนดให้แต่เพียงอย่างเดียว ตามที่จำเลยที่ ๑ อ้างในฎีกา หากแต่ยังให้สิทธิโจทก์ได้ใช้ประโยชน์ในลักษณะเป็นผู้ครอบครองส่วนที่เป็นบริเวณร้านขายอาหารและเคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์ซึ่งอยู่ในบริเวณสถานีรถไฟดังกล่าวอีกด้วย โดยถือเป็นสถานที่เช่าตามสัญญาเช่าสิทธิ ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๓ ลักษณะ ๔ เช่าทรัพย์ ดังนั้น จำเลยที่ ๑ จะเข้าปรับปรุงอาคารส่วนที่เป็นร้านขายอาหารและเคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์อันเป็นสถานที่เช่าโดยปราศจากความยินยอมของโจทก์มิได้ แต่ได้ความตามทางนำสืบของโจทก์เพียงว่า จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ให้ฝ่ายการช่างโยธาเข้าทุบร้านขายอาหารและเคาน์เตอร์ซึ่งโจทก์ไม่โต้แย้งคัดค้านหรือห้ามปรามการกระทำดังกล่าว ต่อมาโจทก์กลับเป็นฝ่ายร้องขอลดค่าเช่ากับจำเลยที่ ๑ อ้างว่าไม่สามารถทำการค้าได้ตามปกติ หลังจากจำเลยที่ ๑ เข้าปรับปรุงอาคารแล้วถึง ๑ เดือนเศษ ตามหนังสือขอลดหย่อนค่าเช่า พฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุอันควรเชื่อว่าโจทก์ยินยอมอนุญาตให้จำเลยที่ ๑ ทุบร้านขายอาหารและเคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์ตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบ จำเลยที่ ๑ จึงไม่ผิดสัญญาในส่วนนี้ แต่เมื่อการปรับปรุงอาคารแล้วเสร็จ เคาน์เตอร์ขายสิ่งพิมพ์ถูกดัดแปลงจนกลายสภาพเป็นห้องประชาสัมพันธ์และจำเลยที่ ๑ เข้าครอบครองใช้ประโยชน์สืบต่อมาเป็นเหตุให้โจทก์ไม่อาจครอบครองใช้ประโยชน์สถานที่เช่าตามสัญญาได้อีกต่อไป จำเลยที่ ๑ จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ในประเด็นนี้จึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนกรณีที่ว่า จำเลยที่ ๒ ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ หรือไม่นั้น เห็นว่า จำเลยที่ ๒ เป็นพนักงานจำเลยที่ ๑ กระทำการในฐานะเป็นตัวแทนเพื่อประโยชน์ในกิจการของจำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ เป็นการส่วนตัว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.