แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มาตรา 97 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 บัญญัติว่า ในกรณีมีหลักฐานเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ก็ให้มีการเลือกตั้งใหม่ หาใช่จำต้องฟังจนแน่ใจว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดในคดีอาญาหรือทำละเมิดจริง ดังนั้น แม้พนักงานอัยการจะมีคำสั่งไม่ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาก็ตาม แต่เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์มีหลักฐานควรเชื่อได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นผลให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมแล้ว จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ตาม มาตรา 99 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินจำนวน 207,200.54 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 195,207.65 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 207,200.54 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 195,207.65 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยจะต้องรับผิดค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า คำสั่งให้เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งของจำเลยและจัดการให้มีการเลือกใหม่ ยังไม่ถึงที่สุด และโจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่าจำเลยทำละเมิดอย่างใด ไม่นำผู้รับมอบอำนาจมาสืบว่ามีการมอบอำนาจให้ฟ้องจริงหรือไม่ ทั้งตามมาตรา 97 หรือมาตรา 99 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 กำหนดให้โจทก์ใช้ดุลพินิจมีคำสั่งให้เพิกถอนการเลือกตั้งและมีการเลือกตั้งใหม่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของโจทก์เท่านั้น ซึ่งตามเจตนารมณ์แล้วโจทก์มีหน้าที่ต้องพิสูจน์ว่ามีการละเมิดต่อโจทก์จริง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดนั้น เห็นว่า สำหรับเรื่องการมอบอำนาจให้ฟ้อง จำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีในข้อนี้ไว้ จึงไม่มีประเด็นที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น แม้เรื่องอำนาจฟ้องจะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่สำหรับคดีนี้ศาลฎีกายังไม่เห็นสมควรจะยกขึ้นวินิจฉัยให้ จึงไม่ยกขึ้นวินิจฉัยตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ทั้งเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งของจำเลยมีกำหนด 1 ปี และจัดการให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยวินิจฉัยว่ากรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อว่า จำเลยมีส่วนให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 43 วรรคสอง (2) วรรคหนึ่ง และให้เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งจำเลยเป็นเวลา 1 ปี และมีคำสั่งให้เลือกตั้งใหม่ตามมาตรา 97 วรรคหนึ่ง เมื่อคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ซึ่งตามมาตรา 97 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 บัญญัติว่า ในกรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรมก็ให้เลือกตั้งใหม่ได้ หาใช่จำต้องฟังจนกว่าจะแน่ใจว่าจำเลยได้เป็นผู้กระทำความผิดในคดีอาญาหรือทำละเมิดจริง ดังนั้น แม้พนักงานอัยการจะมีคำสั่งไม่ฟ้องจำเลยในคดีอาญาก็ตาม แต่เมื่อตามพยานหลักฐานของโจทก์มีเหตุเกิดจากมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการกระทำของจำเลยทำให้ผลการเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมแล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามที่มาตรา 99 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 บัญญัติไว้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยต้องรับผิดค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนโดยมิได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไว้นั้นเป็นการไม่ชอบเพราะแม้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2550 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง จะยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงก็ตาม แต่เมื่อเป็นคดีแพ่งในการวินิจฉัยชี้ขาดคดี ศาลจำต้องมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไม่ว่าคู่ความจะมีคำขอหรือไม่ก็ดี ก็เป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสั่งลงไว้ในคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 141 (5) และมาตรา 167 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ