คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10787/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วม มีหน้าที่ดูแลการขายรถยนต์และรับเงินค่าขายรถยนต์จากลูกค้าของโจทก์ร่วม การที่จำเลยปกปิดข้อเท็จจริง ละเว้นไม่รายงานจำนวนรถยนต์ของโจทก์ร่วมที่ขายให้แก่ลูกค้าและไม่รายงานการนำรถยนต์ออกไปจากโกดังตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจนทำให้การกระทำความผิดสำเร็จ ถือได้ว่าจำเลยเป็นตัวการ แม้ต่อมาภายหลังจะรายงานจำนวนรถยนต์ต่อโจทก์ร่วมตามความเป็นจริง ก็เป็นการรายงานหลังจากที่ตรวจพบถึงการละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายแล้ว ไม่อาจทำให้การกระทำของจำเลยกลับกลายไม่เป็นความผิด
ส. และจำเลยรับมอบเงินค่าขายรถยนต์ของโจทก์ร่วมจากลูกค้า เป็นเพียงการรับเงินไว้ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ในฐานเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วม เงินดังกล่าวจึงเป็นเงินของโจทก์ร่วมและยังอยู่ในความครอบครองของโจทก์ร่วม เมื่อจำเลยร่วมกับพวกเอาเงินดังกล่าวของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นนายจ้างไปโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ของนายจ้างตาม ป.อ. มาตรา 335 (11) วรรคแรก มิใช่เป็นความผิดฐานยักยอก
แม้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจะแตกต่างจากที่กล่าวในฟ้อง แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวก็เป็นเพียงรายละเอียด มิใช่ข้อที่เป็นสาระสำคัญและจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจลงโทษในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง ตามที่พิจารณาได้ความตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม

ย่อยาว

ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 352 และให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 8,094,577 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา บริษัทอีซูซุแสงหงษ์บางกอก จำกัด ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษา ศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวม 19 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 1 ปี รวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกจำเลย 10 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (1) ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 8,094,577 บาท แก่โจทก์ร่วม
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยร่วมกระทำความผิดคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า เหตุที่โจทก์ร่วมกล่าวหาว่าจำเลยมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดคดีนี้ สืบเนื่องมาจากนายมนูญเวทย์ได้รับการร้องเรียนจากลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ของโจทก์ร่วมและได้ชำระเงินค่ารถยนต์ครบถ้วนแล้ว แต่ยังไม่ได้รับสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ นายมนูญเวทย์จึงตรวจสอบจนทราบความจริงว่าจำเลยละเว้นไม่รายงานจำนวนรถยนต์ของโจทก์ร่วมที่ขายให้แก่ลูกค้าและไม่รายงานการนำรถยนต์ดังกล่าวออกไปจากโกดังที่สาขารามอินทราตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เป็นเหตุให้มีการทุจริตเอาเงินค่าขายรถยนต์ของโจทก์ร่วมไปโดยที่โจทก์ร่วมไม่ทราบ แสดงให้เห็นว่าการที่โจทก์ร่วมมอบหมายให้นายสำฤทธิ์มีหน้าที่รับเงินค่าขายรถยนต์ของโจทก์ร่วมและส่งมอบเงินนั้นให้แก่โจทก์ร่วม กับให้จำเลยมีหน้าที่รายงานจำนวนรถยนต์ของโจทก์ร่วมที่ขายให้แก่ลูกค้าและการนำรถยนต์นั้นออกไปจากโกดังที่สาขารามอินทราตามความเป็นจริง ก็เพื่อให้มีการตรวจสอบซึ่งกันและกันและป้องกันมิให้เกิดการทุจริตขึ้น ดังนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยจึงเป็นขั้นตอนสำคัญอันหนึ่งที่จะป้องกันมิให้เกิดการทุจริตขึ้น หากจำเลยไม่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย การทุจริตย่อมไม่อาจสำเร็จได้ คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า จำเลยทำงานเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วมตั้งแต่เดือนเมษายน 2536 ก่อนเกิดเหตุเป็นเวลาประมาณ 3 ปี และได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าสำนักงานสาขารามอินทรา เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2538 จำเลยละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่รายงานจำนวนรถยนต์ของโจทก์ร่วมที่ขายให้แก่ลูกค้าและไม่รายงานการนำรถยนต์นั้นออกไปจากโกดังที่สาขารามอินทราตามที่ได้รับมอบหมายต่างกรรมต่างวาระกันเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน 2539 ถึงเดือนมิถุนายน 2539 รวม 19 ครั้ง เป็นจำนวนรถยนต์ที่จำเลยละเว้นไม่รายงานมากถึง 22 คัน ทั้งยังมีรถยนต์ที่จำเลยเป็นผู้ขายเองอีก 1 คัน รวมอยู่ด้วย พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นเรื่องผิดปกติอย่างยิ่ง หากจำเลยไม่มีเจตนาเข้าร่วมในการกระทำความผิดคดีนี้ จำเลยก็ควรจะต้องรายงานถึงความผิดปกติดังกล่าวให้โจทก์ร่วมทราบ แต่จำเลยก็มิได้กระทำแม้แต่รถยนต์คันที่จำเลยเป็นผู้ขายให้แก่นายซุบ เมื่อนายซุบมาทวงถามสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์จากจำเลย จำเลยก็กลับเพิกเฉยไม่ตรวจสอบและรายงานให้โจทก์ร่วมทราบถึงความผิดปกตินี้แต่อย่างใด ผิดวิสัยของจำเลยในฐานะหัวหน้าสำนักงานสาขา พฤติการณ์ของจำเลยดังที่กล่าวย่อมไม่อาจเข้าใจเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากว่าจำเลยประสงค์จะร่วมปกปิดไม่ให้โจทก์ร่วมทราบ มากกว่าที่จะฟังว่าเป็นเพราะจำเลยกระทำการโดยสุจริตตามคำสั่งของนายสำฤทธิ์ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา และเพราะเคยปฏิบัติต่อกันในลักษณะนี้มาก่อนดังที่จำเลยยกขึ้นฎีกา การที่จำเลยปกปิดข้อเท็จจริง ละเว้นไม่รายงานจำนวนรถยนต์ของโจทก์ร่วมที่ขายให้แก่ลูกค้าและไม่รายงานการนำรถยนต์นั้นออกไปจากโกดังที่สาขารามอินทราตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย จนทำให้การกระทำความผิดคดีนี้สำเร็จโดยไม่ให้โจทก์ร่วมทราบ จึงถือได้ว่าจำเลยเป็นตัวการ แม้ต่อมาภายหลังจะรายงานจำนวนถยนต์ดังกล่าวต่อโจทก์ร่วมตามความเป็นจริง ก็เป็นการรายงานหลังจากที่นายมนูญเวทย์ตรวจพบถึงการละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายของจำเลยแล้ว ไม่อาจทำให้การกระทำของจำเลยกลับกลายเป็นไม่เป็นความผิดคดีนี้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตามการที่นายสำฤทธิ์และจำเลยรับมอบเงินค่าขายรถยนต์ของโจทก์ร่วมจากลูกค้า ก็เป็นเพียงการรับเงินนั้นไว้ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น เงินดังกล่าวจึงเป็นเงินของโจทก์ร่วมและยังอยู่ในความครอบครองของโจทก์ร่วม เมื่อจำเลยร่วมเอาเงินค่าขายรถยนต์ของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นนายจ้างไปโดยทุจริต การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ของนายจ้างตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (11) วรรคแรก มิใช่เป็นความผิดฐานร่วมกันยักยอกตามที่โจทก์ฟ้องและศาลอุทธรณ์พิพากษา แม้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจะแตกต่างจากที่กล่าวในฟ้อง แต่ข้อแตกต่างดังกล่าวก็เป็นเพียงรายละเอียด มิใช่ข้อที่เป็นสาระสำคัญ และจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจลงโทษในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ของนายจ้างตามที่พิจารณาได้ความได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (11) วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 ส่วนโทษและการคืนหรือใช้เงินแก่โจทก์ร่วมให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share