คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10786/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องประกอบธุรกิจผลิตอัญมณี เครื่องประดับที่ทำด้วยทองเคและเงินเพื่อการส่งออก จึงเป็นเหตุผลให้ต้องมีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่ระบุว่า “พนักงานต้องไม่สวมใส่เครื่องประดับ หรือประดับกายด้วยสิ่งที่เป็นโลหะ รวมถึงการสวมใส่เครื่องนุ่งห่มที่มีโลหะตกแต่ง หรือยึดเกาะ เข้า – ออกอาคารผลิต หากพนักงานรักษาความปลอดภัยตรวจพบถือเป็นความผิดร้ายแรง” เพื่อป้องกันไม่ให้พนักงานนำชิ้นงานอัญมณีรวมทั้งเศษทองเคและเงินซุกซ่อนออกจากโรงงาน ซึ่งหากพนักงานสวมใส่สิ่งที่มีโลหะประกอบอยู่ด้วยก็จะเป็นการยากต่อการตรวจสอบ การที่ผู้คัดค้านสวมสร้อยคอเชือกสายร่มและห้อยพระเนื้อดิน แม้จะไม่มีสิ่งที่เป็นโลหะประกอบอยู่ด้วย แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการสวมใส่เครื่องประดับที่อาจใช้ซุกซ่อนอัญมณีหรือชิ้นงานมีค่าอื่น ๆ ของผู้ร้องออกไปได้ จึงเป็นการขัดต่อข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้อดังกล่าว
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้อดังกล่าวเป็นการกำหนดให้ลูกจ้างปฏิบัติเกี่ยวกับการแต่งกายในการทำงาน ในระหว่างเวลาทำงานและเฉพาะในสถานประกอบการของนายจ้างเท่านั้น มิได้จำกัดหรือห้ามลูกจ้างไปถึงนอกเวลาทำงานหรือในพื้นที่ทั่วไปแต่ประการใด และมิได้มีส่วนที่จำกัดเสรีภาพของลูกจ้างในการนับถือศาสนาแต่ประการใด จึงมิได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษกรรมการลูกจ้างทั้งสองด้วยการตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรและพักงานเป็นเวลา 3 วัน โดยไม่จ่ายค่าจ้างและตัดโบนัสประจำปีร้อยละสิบ
กรรมการลูกจ้างทั้งสองยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจผลิตอัญมณี เครื่องประดับที่ทำด้วยทองเคและเงินเพื่อการส่งออก ผู้คัดค้านทั้งสองเป็นกรรมการลูกจ้าง เข้าทำงานเป็นลูกจ้างเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2543 และวันที่ 23 มีนาคม 2535 ตามลำดับ เมื่อวันที่ 16, 17, 18 กุมภาพันธ์ 2549 และวันที่ 11, 14, 15, 16 กุมภาพันธ์ 2549 ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับต่างคล้องคอด้วยเชือกสายร่มห้อยพระเดินเข้าออกอาคารผลิต เชือกสายร่มและพระดังกล่าวไม่มีส่วนผสมของโลหะ นายสมบัติ พนักงานรักษาความปลอดภัย ซึ่งมีหน้าที่ตรวจตราดูแลพนักงานเข้าออกอาคารผลิตจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามใบรายการตรวจพบโลหะ แล้ววินิจฉัยว่าผู้คัดค้านทั้งสองคล้องสร้อยคอเชือกสายร่มห้อยพระเดินเข้าออกอาคารผลิตเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หมวดที่ 12 ข้อ 36.10 และหมวดที่ 13 ข้อ 40.6.4 จึงมีเจตนากระทำผิดวินัยอย่างชัดแจ้งและกระทำผิดซ้ำติดต่อกันหลายครั้งแล้วมีคำสั่งว่า อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 จึงมีคำสั่งอนุญาตให้บริษัทอัลมอนด์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ร้อง ลงโทษนายอาคม ที่ 1 นายประทุม ที่ 2 กรรมการลูกจ้าง ผู้คัดค้านทั้งสอง โดยตักเตือนเป็นหนังสือและพักงานโดยไม่จ่ายค่าจ้างเป็นเวลา 3 วัน คำขออื่นให้ยก
ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้คัดค้านทั้งสองประการแรกว่า การที่ผู้คัดค้านทั้งสองสวมใส่สร้อยคอเชือกสายร่มและห้อยพระเนื้อดินที่ไม่มีส่วนผสมของโลหะเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องหรือไม่ เห็นว่า ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้อง หมวดที่ 13 วินัยและโทษทางวินัย ข้อ 40.6.4 ระบุว่า พนักงานต้องไม่สวมใส่เครื่องประดับ หรือประดับกายด้วยสิ่งที่เป็นโลหะรวมถึงการสวมใส่เครื่องนุ่งห่มที่มีโลหะตกแต่ง หรือยึดเกาะ เข้า – ออกอาคารผลิต หากพนักงานรักษาความปลอดภัยตรวจพบถือเป็นความผิดร้ายแรง และเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2549 ผู้ร้องได้มีประกาศเรื่องเครื่องแบบพนักงานและการแต่งกายเข้า – ออกอาคารผลิต ปิดประกาศให้พนักงานทุกคนทราบแล้ว ประกาศดังกล่าวมีข้อความขอความร่วมมือจากพนักงานทุกคนให้สวมเครื่องแบบพนักงานตามที่บริษัทกำหนด และปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหมวด 12 ข้อ 36.10 และหมวด 13 ข้อ 40.6.4 โดยเคร่งครัดตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 เป็นต้นไป ซึ่งตามข้อเท็จจริงที่ยุติในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลางปรากฏว่า ผู้ร้องประกอบธุรกิจผลิตอัญมณี เครื่องประดับที่ทำด้วยทองเคและเงินเพื่อการส่งออก จึงเป็นเหตุผลให้ต้องมีข้อบังคับดังกล่าวเพื่อป้องกันไม่ให้พนักงานนำชิ้นงานอัญมณีรวมทั้งเศษทองเคและเงินซุกซ่อนออกจากโรงงาน ซึ่งหากพนักงานสวมใส่สิ่งที่มีโลหะประกอบอยู่ด้วยก็จะเป็นการยากต่อการตรวจสอบ และการที่ผู้คัดค้านทั้งสองสวมสร้อยคอเชือกสายร่มและห้อยพระเนื้อดินดังกล่าว แม้จะไม่มีสิ่งที่เป็นโลหะประกอบอยู่ด้วย แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการสวมใส่เครื่องประดับที่อาจใช้ซุกซ่อนอัญมณีหรือชิ้นงานมีค่าอื่นๆ ของผู้ร้องออกไปได้ การกระทำของผู้คัดค้านทั้งสองจึงเป็นการขัดต่อข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้อ 40.6.4 แล้ว ส่วนที่ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์ว่า ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานดังกล่าวเป็นการจำกัดเสรีภาพในการนับถือศาสนาขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 นั้น เห็นว่า ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานดังกล่าวเป็นการกำหนดให้ลูกจ้างปฏิบัติเกี่ยวกับการแต่งกายในการทำงานในระหว่างเวลาทำงานและเฉพาะในสถานประกอบการของนายจ้างเท่านั้น มิได้จำกัดหรือห้ามลูกจ้างไปถึงนอกเวลาทำงานหรือในพื้นที่ทั่วไปแต่ประการใด อีกทั้งข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานดังกล่าวก็มิได้มีส่วนที่จำกัดเสรีภาพของลูกจ้างในการนับถือศาสนาแต่ประการใด จึงมิได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ดังที่ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์
ส่วนที่ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์ว่า การที่ผู้ร้องได้มีประกาศเรื่องเครื่องแบบพนักงานและการแต่งกาย เข้า – ออกอาคารผลิต การเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้างและผู้คัดค้านทั้งสองนั้น เห็นว่า อุทธรณ์ของผู้คัดค้านทั้งสองข้อนี้ผู้คัดค้านทั้งสองมิได้กล่าวอ้างในคำคัดค้าน จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลาง ไม่อาจยกขึ้นอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
และที่ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์ว่า ก่อนที่ผู้ร้องจะมีประกาศเรื่องเครื่องแบบพนักงานและการแต่งกาย เข้า – ออกอาคารผลิต ผู้คัดค้านทั้งสองได้สวมใส่สร้อยคอเชือกสายร่มห้อยพระเครื่องมาตั้งแต่เริ่มเข้าทำงานเป็นลูกจ้างผู้ร้องโดยไม่เคยถูกว่ากล่าวหรือลงโทษมาก่อน และเมื่อผู้ร้องได้ปิดประกาศเรื่องเครื่องแบบพนักงานและการแต่งกาย เข้า – ออกอาคารผลิต สหภาพแรงงานอัลมอนด์ได้มีหนังสือคัดค้าน ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการเจรจาระหว่างผู้ร้องกับสหภาพแรงงานอัลมอนด์และยังมิได้ข้อยุติ หากได้ข้อยุติเช่นใดผู้คัดค้านทั้งสองก็จะปฏิบัติ ผู้คัดค้านทั้งสองจึงมิได้มีเจตนาที่จะกระทำผิดอย่างชัดแจ้งหรือกระทำความผิดซ้ำหลายๆ ครั้งนั้น เห็นว่า อุทธรณ์ดังกล่าวเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน
พิพากษายืน

Share