แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยเช่าที่ดินจากโจทก์ทำนาต่อมาจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะการเช่านามาทำเป็นบ่อเลี้ยงปลา อันเป็นการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมอย่างอื่นซึ่งยังไม่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผู้เช่าได้รับความคุ้มครองเช่นเดียวกับการเช่านาการบอกเลิกการเช่าที่ดินพิพาทจึงไม่อยู่ในบังคับตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524โจทก์ไม่จำต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในพระราชบัญญัติดังกล่าวก่อนฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และนางอำไพ นพจรูญศรี เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 2975 ตำบลบางน้ำเปรี้ยวอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เนื้อที่ประมาณ 189 ไร่1 งาน 69 ตารางวา เฉพาะส่วนของนางอำไพได้จดทะเบียนให้โจทก์เป็นผู้ทรงสิทธิเก็บกินตั้งแต่ปี 2519 จนถึงปัจจุบัน เดิมจำเลยเช่าที่ดินดังกล่าวจากโจทก์เนื้อที่ 58 ไร่ 2 งาน เพื่อทำนามาเป็นเวลา 20 ปีเศษ ต่อมาก่อนหน้านี้ประมาณ 7 ปี จำเลยได้เปลี่ยนลักษณะการเช่าที่ดินทำนามาทำเป็นบ่อเลี้ยงปลาโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาเช่า ตกลงอัตราค่าเช่าปีละ 21,000 บาทชำระค่าเช่าทุกวันที่ 30 มีนาคมของทุกปี ก่อนครบกำหนดวันชำระค่าเช่าในวันที่ 30 มีนาคม 2535 โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าแก่จำเลยและให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์แต่จำเลยเพิกเฉย การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเดือนละ 15,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 2975 ตำบลบางน้ำเปรี้ยว อำเภอบางน้ำเปรี้ยวจังหวัดฉะเชิงเทรา และส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ให้สภาพเรียบร้อยกับให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 15,000 บาทนับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดิน และทำที่ดินให้กลับคืนสู่สภาพเดิม
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะการเช่าที่ดินแปลงพิพาทเป็นการเช่านา การบอกเลิกการเช่านาของโจทก์ไม่ชอบตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524เนื่องจากช่วงระยะเวลาการเช่านาช่วงละ 6 ปี จะครบกำหนด 6 ปีสุดท้ายในปี 2537 ครบกำหนดแล้วโจทก์จึงจะบอกเลิกการเช่านาได้นอกจากนี้วิธีการบอกเลิกการเช่านาของโจทก์ก็กระทำโดยมิชอบกล่าวคือ โจทก์ไม่ได้ยื่นหนังสือบอกเลิกการเช่านา โดยอ้างเหตุในการบอกเลิกการเช่านาก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการเช่านาและส่งสำเนาหนังสือบอกเลิกการเช่านาต่อประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 2975ตำบลบางน้ำเปรี้ยว อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทราเฉพาะบริเวณที่จำเลยทำไร่นาสวนผสมเนื้อที่ประมาณ 38 ไร่และส่งมอบที่ดินดังกล่าวคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยตามเดิม ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง และให้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,500 บาท นับแต่เดือนเมษายน 2536 จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดิน คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้ในส่วนของค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยเฉพาะในข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าการบอกเลิกการเช่าที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ 38 ไร่ ที่จำเลยใช้ทำบ่อเลี้ยงปลานั้น โจทก์จะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 หรือไม่เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 10,000 บาทจึงห้ามมิให้คู่กรณีฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง คดีจึงฎีกาได้แต่ในข้อกฎหมายและการวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 เมื่อข้อเท็จจริงยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 แล้วว่า จำเลยได้เปลี่ยนลักษณะการเช่านามาทำเป็นบ่อเลี้ยงปลา อันเป็นการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมอย่างอื่นซึ่งยังไม่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผู้เช่าได้รับความคุ้มครองเช่นเดียวกับการเช่านา การบอกเลิกการเช่าที่ดินพิพาทจึงไม่อยู่ในบังคับตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 โจทก์ไม่จำต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในพระราชบัญญัติดังกล่าว”
พิพากษายืน