คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1077/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเช่าที่ดินโจทก์เพื่อทำนาแต่ต่อมาได้เปลี่ยนลักษณะการเช่านามาทำเป็นบ่อเลี้ยงปลาอันเป็นการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมอย่างอื่นซึ่งยังไม่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผู้เช่าได้รับความคุ้มครองเช่นเดียวกับการเช่านาการบอกเลิกการเช่าที่ดินพิพาทจึงไม่อยู่ในบังคับตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯโจทก์จึงไม่จำต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในพระราชบัญญัติดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 2975 และส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 15,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดิน และทำที่ดินให้กลับคืนสู้สภาพเดิม
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะการเช่าที่ดินแปลงพิพาทเป็นการเช่านา การบอกเลิกการเช่านาของโจทก์ไม่ชอบ ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 2975ตำบลบางน้ำเปรี้ยว อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทราเฉพาะบริเวณที่จำเลยทำไร่นาสวนผสมเนื้อที่ประมาณ 38 ไร่และส่งมอบที่ดินดังกล่าวคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยตามเดิมห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง และให้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,500 บาท นับแต่เดือนเมษายน 2536 จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดิน คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เฉพาะค่าฤชาธรรมเนียมที่จำเลยต้องใช้แทนโจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยเฉพาะในข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าการบอกเลิกการเช่าที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ 38 ไร่ ที่จำเลยใช้ทำบ่อเลี้ยงปลานั้น โจทก์จะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 หรือไม่ เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท จึงห้ามมิให้คู่กรณีฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคสอง คดีจึงฎีกาได้แต่ในข้อกฎหมาย และการวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักบานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 เมื่อข้อเท็จจริงยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1แล้วว่า จำเลยได้เปลี่ยนลักษณะการเช่านามาทำเป็นบ่อเลี้ยงปลาอันเป็นการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมอย่างอื่นซึ่งยังไม่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผู้เช่าได้รับความคุ้มครองเช่นเดียวกับการเช่านา การบอกเลิกการเช่าที่ดินพิพาทจึงไม่อยู่ในบังคับตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524โจทก์ไม่จำต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในพระราชบัญญัติดังกล่าวที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share