คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7011/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดแบบไม่ควบคุมตัวที่โรงพยาบาล แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบเงื่อนไขให้ครบถ้วนอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 มาตรา 30 และมาตรา 31 พนักงานเจ้าหน้าที่จึงมีอำนาจและหน้าที่จับตัวจำเลยกลับเข้าไว้ในศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด เพื่อบำบัดฟื้นฟูตามแผนและให้มีอำนาจลงโทษตามมาตรา 32 การที่คณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดเห็นว่า การที่ผู้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดมีเจตนาไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัย จึงให้ส่งเรื่องคืนพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไปก็เป็นการไม่ชอบ เพราะตามมาตรา 33 วรรคสอง บัญญัติให้คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดรายงานความเห็นไปยังพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการเพื่อประกอบการดำเนินคดี หากผู้นั้นเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดครบถ้วนตามกำหนดเวลาแล้ว แต่ผลการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดยังไม่เป็นที่พอใจ ดังนั้นเมื่อได้ตัวจำเลยกลับมา โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ยังมิได้นำตัวจำเลยกลับไปบำบัดแก้ไขตามแผนฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามเจตนารมณ์ของกฎหมายให้ครบถ้วนตามมาตรา 25 ก่อน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 67, 91 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 57, 67, 91 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 9 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2552 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยพร้อมเมทแอมเฟตามีน จำนวน 1 เม็ด เป็นของกลางโดยกล่าวหาว่า กระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ของกลางหมดไปในการตรวจพิสูจน์ ต่อมาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ส่งตัวจำเลยไปเพื่อตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติด โดยคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจังหวัดนครศรีธรรมราชได้วินิจฉัยว่า จำเลยเป็นผู้ติดยาเสพติดและให้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด แบบไม่ควบคุมตัว แบบผู้ป่วยนอก ที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราชเป็นเวลา 4 เดือน หลังจากนั้นให้เข้าโปรแกรมการปรับตัวกลับสู่สังคมเป็นเวลา 2 เดือน จำเลยเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด แบบไม่ควบคุมตัวแบบผู้ป่วยนอก ที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราชเป็นเวลา 4 เดือน ครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยยังไม่ได้เข้าสู่โปรแกรมการปรับตัวกลับสู่สังคมเป็นเวลา 2 เดือน พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มีหนังสือเตือนและออกติดตามสอดส่องไปยังที่บ้านพักจำเลยและฝากหนังสือเตือนไว้ เมื่อถึงกำหนดจำเลยก็ไม่มาพบพนักงานเจ้าหน้าที่จนกระทั่งล่วงเลยระยะเวลาฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดมาเป็นเวลา 8 เดือน คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจังหวัดนครศรีธรรมราชจึงพิจารณาผลการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดของจำเลยว่า การที่ผู้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด โดยยังคงเพิกเฉยไม่มารายงานตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ทั้งที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ออกไปติดตามยังที่อยู่ตามภูมิลำเนาแล้ว แสดงว่าผู้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดมีเจตนาไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด จึงเห็นว่าการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดไม่น่าจะเกิดประโยชน์กับผู้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดรายนี้ จึงให้ส่งเรื่องคืนพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป ตามคำวินิจฉัยของคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ 1444/2553 ท้ายคำฟ้อง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 นั้น ผู้ที่จะถูกส่งตัวไปเข้ารับการฟื้นฟูคือ บุคคลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 19 ไม่ว่าผู้นั้นจะยินยอมเข้ารับการฟื้นฟูหรือไม่ก็ตาม โดยศาลจะมีคำสั่งให้ส่งตัวผู้นั้นไปตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติดก่อนและคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดมีอำนาจวินิจฉัยว่า ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ผู้ใดเป็นผู้เสพหรือติดยาเสพติดจากนั้นจะต้องจัดให้มีแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามมาตรา 22 ซึ่งคดีนี้จำเลยเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดแบบไม่ควบคุมตัว แบบผู้ป่วยนอก เป็นเวลา 4 เดือน ครบถ้วนแล้วแต่ยังไม่ได้เข้าสู่โปรแกรมการปรับตัวกลับสู่สังคมเป็นเวลา 2 เดือน พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มีหนังสือเตือนและออกติดตามสอดส่องไปยังที่บ้านพักจำเลยและฝากหนังสือเตือนไว้ เมื่อถึงกำหนดจำเลยก็ไม่มาพบพนักงานเจ้าหน้าที่จนกระทั่งล่วงเลยเวลาระยะเวลาฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดมาเป็นเวลา 8 เดือน กรณีจึงถือว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบเงื่อนไขโดยไม่ได้เข้าสู่โปรแกรมการปรับตัวกลับสู่สังคมเป็นเวลา 2 เดือน ให้ครบถ้วนตามแผนฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 มาตรา 30 และมาตรา 31 พนักงานเจ้าหน้าที่จึงมีอำนาจและหน้าที่จับจำเลยกลับเข้าไว้ในศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดเพื่อบำบัดฟื้นฟูตามแผนและให้มีอำนาจลงโทษตามมาตรา 32 ได้อีกด้วย แต่ไม่ปรากฏว่าคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจังหวัดนครศรีธรรมราชได้ดำเนินการตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แต่ประการใด ทั้งการที่คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจังหวัดนครศรีธรรมราชมีคำสั่งที่ 1444/2553 ว่า “…การที่ผู้รับฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด โดยยังคงเพิกเฉยไม่มารายงานตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ทั้งที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ออกไปติดตามยังที่อยู่ตามภูมิลำเนาแล้ว แสดงว่าผู้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดมีเจตนาไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด จึงเห็นว่าการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดไม่น่าจะเกิดประโยชน์กับผู้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดรายนี้ จึงให้ส่งเรื่องคืนพนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไป” จึงเป็นการไม่ชอบ เนื่องจากตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 มาตรา 33 วรรคสอง บัญญัติให้คณะอนุกรรมการการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดรายงานความเห็นไปยังพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการเพื่อประกอบการดำเนินคดีผู้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ในกรณีหากผู้นั้นเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดครบถ้วนตามกำหนดเวลาแล้ว แต่ผลการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดยังไม่เป็นที่พอใจ ดังนั้นเมื่อได้ตัวจำเลยกลับมาและโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ยังมิได้นำตัวจำเลยกลับไปบำบัดแก้ไขตามแผนฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามเจตนารมณ์ของกฎหมายให้ครบถ้วนตามมาตรา 25 ก่อน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share