แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยยืมรถยนต์ของโจทก์ไปใช้แล้วขับรถยนต์ของโจทก์ไปชนคนเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์เสียหาย โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับค่าเสียหายที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอปลาปาก โดยจำเลยสัญญาว่าจะขอรับรถยนต์ของโจทก์ไป และยอมชดใช้เงินเป็นค่ารถยนต์ให้โจทก์จำนวน 210,000 บาท เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องโดยกล่าวถึงสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและบรรยายถึงเหตุแห่งข้อหาคือจำเลยยืมรถยนต์ของโจทก์ไปใช้แล้วก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์ของโจทก์ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม คำให้การจำเลยบรรยายแต่เพียงว่าโจทก์ใช้กลฉ้อฉลให้จำเลยสำคัญผิดมิได้บรรยายถึงเหตุแห่งการฉ้อฉลโดยชัดแจ้ง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสอง ข้อนี้จึงไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทที่ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็ไม่รับวินิจฉัยให้ ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามมาตรา 249 วรรคแรก.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์ยี่ห้อมิตซูบิชิ จำเลยยืมรถยนต์คันดังกล่าวขับไปชนคนได้รับบาดเจ็บและรถยนต์ของโจทก์เสียหาย ต่อมาจำเลยไปพบโจทก์และยินยอมขดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์โจทก์และจำเลยจึงไปตกลงค่าเสียหายกันที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอปลาปากจังหวัดนครพนม จำเลยได้ตกลงจะรับรถยนต์ของโจทก์ไปและยอมชดใช้เงินเป็นค่ารถยนต์ให้แก่โจทก์แทนเป็นเงินทั้งสิ้น 210,000 บาท โดยแบ่งชำระเป็น 3 งวด งวดละ 70,000 บาท จำเลยไม่ชำระเงินให้แก่โจทก์เลย ขอให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์เป็นเงิน 210,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะจำเลยไม่อาจทราบข้อหาของโจทก์ได้ว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายหรือเรียกราคารถยนต์จำเลยยืมรถยนต์ของโจทก์ไปจริงและขับไปชนคนบาดเจ็บ รถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายเล็กน้อยจำเลยขอซ่อมรถยนต์ให้หรือขอชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ไม่ได้ตกลงจะซื้อรถยนต์ของโจทก์ โจทก์จึงรับรถยนต์ของโจทก์คืนไป หนังสือประนีประนอมยอมความที่โจทก์นำมาฟ้องโจทก์ใช้กลฉ้อฉลให้จำเลยสำคัญผิดและบีบบังคับให้จำเลยกระทำไปด้วยความไม่สมัครใจ โดยใช้อิทธิพลต่าง ๆ อาศัยเจ้าพนักงานให้กระทำมิชอบ บีบบังคับให้จำเลยต้องเซ็นชื่อในสัญญาดังกล่าวในขณะที่จำเลยตกอยู่ในภาวะที่สติสัมปชัญญะยังไม่สมประกอบพะวงหน้าพะวงหลังเรื่องคนเจ็บ ซึ่งพวกโจทก์หลอกว่ากำลังจะตายทั้งโจทก์ว่าถ้าไม่เซ็นสัญญาที่ทำขึ้นโดยเจ้าพนักงานสอบสวนก็จะดำเนินคดีอาญากับจำเลยให้จำเลยถูกลงโทษทางวินัยหรืออาจถูกออกจากราชการ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 210,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า “ในปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยยืมรถยนต์ของโจทก์ไปใช้แล้วขับรถยนต์ของโจทก์ไปชนคน เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์เสียหายโจทก์จำเลยได้ไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับค่าเสียหายที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอปลาปาก โดยจำเลยสัญญาว่าจะขอรับรถยนต์ของโจทก์ไป และยอมชดใช้เงินเป็นค่ารถยนต์ให้แก่โจทก์จำนวน 210,000บาทเห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องโดยกล่าวถึงสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามบันทึกชดใช้ค่าเสียหายซึ่งเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความและบรรยายถึงเหตุแห่งข้อหาคือจำเลยยืมรถยนต์ของโจทก์ไปใช้แล้วก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์ของโจทก์ ฟ้องของโจทก์จึงบรรยายโดยชัดแจ้งแล้ว หาได้บรรยายขัดกับใจความในสัญญาบันทึกชดใช้ค่าเสียหายไม่ จำเลยสามารถเข้าใจและต่อสู้คดีได้ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ในปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ทำการฉ้อฉลโดยอ้างว่า โจทก์ซื้อรถยนต์มาเพียง 160,000 บาท แต่ขณะทำสัญญาชดใช้ค่าเสียหายโจทก์นิ่งไม่แจ้งราคารถยนต์ที่ซื้อมาให้จำเลยทราบ ซึ่งถ้าหากทราบความจริงดังกล่าวก็คงไม่ทำสัญญาขึ้น จำเลยได้ให้การต่อสู้ไว้นั้นเห็นว่าในคำให้การจำเลย จำเลยบรรยายแต่เพียงว่า โจทก์ใช้กลฉ้อฉลให้จำเลยสำคัญผิดเท่านั้น มิได้บรรยายถึงเหตุแห่งการฉ้อฉลโดยแจ้งชัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทที่ได้ว่ากล่าวกันมาแต่ศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็ไม่รับวินิจฉัยให้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย สำหรับปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาชดใช้ค่าเสียหายเอกสารหมาย จ.5 จำเลยทำเพราะถูกขู่บังคับจนจำเลยกลัวอันตรายจะมีถึงตัวจำเลยนั้น จำเลยเบิกความว่า ขณะจำเลยไปหาโจทก์ที่บ้านโจทก์ญาติโจทก์พูดบอกจำเลยว่าจะเอาจำเลยออกจากราชการจะเอาตำรวจมาจับข่มขู่จะให้จำเลยเสียชีวิตบ้าง โดยพ่อตาโจทก์บอกจำเลยว่า จนตรอกแล้วจะมีอันเป็นไป เมื่อพ่อตาโจทก์พูดอย่างนี้จำเลยตกใจและกลัว เห็นว่า จำเลยเบิกความลอย ๆ เพียงปากเดียวทั้งการทำสัญญาชดใช้ค่าเสียหายเอกสารหมาย จ.5 ทำที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอปลาปากต่อหน้าพนักงานสอบสวน จำเลยเป็นป่ไม้อำเภอปลาปากย่อมรู้จักเจ้าพนักงานตำรวจ หากจำเลยถูกขู่บังคับ จำเลยสามารถบอกหรือขอความช่วยเหลือจากเจ้าพนักงานตำรวจได้ นอกจากนี้ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นความผิดทางแพ่งหาใช่คดีอาญาไม่จำเลยไม่ทำสัญญาชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ก็ย่อมทำได้ ฝ่ายโจทก์มีนายเกิด จันทร์มีเบิกความสนับสนุนว่า โจทก์จำเลยได้ตกลงทำสัญญาเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยขับรถยนต์ของโจทก์ไปชนเสียหาย แล้วโจทก์จำเลยพากันไปทำบันทึกเกี่ยวกับเรื่องชดใช้ค่าเสียหายที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอปลาปาก ซึ่งข้อนี้โจทก์มีร้อยตำรวจตรีวีระ ภักดีหาญพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอปลาปาก มาเบิกความยืนยันอีกว่า โจทก์จำเลยไปพบพยานที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอปลาปาก และแจ้งความประสงค์จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยขับรถยนต์ของโจทก์ไปคว่ำจนได้รับความเสียหาย พยานจึงได้ทำบันทึกชดใช้ค่าเสียหายให้ ร้อยตำรวจตรีวีระรู้จักโจทก์จำเลยทั้งไม่ปรากฏว่ามีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด และเมื่อทำบันทึกแล้วยังได้ลงประจำวันไว้เป็นหลักฐานด้วย คำเบิกความของร้อยตำรวจตรีวีระน่าเชื่อ พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักมากว่าพยานหลักฐานจำเลยข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ขู่บังคับจำเลยให้จำยอมทำสัญญาชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.5 สัญญาชดใช้ค่าเสียหายเอกสารหมาย จ.5 จึงไม่ตกเป็นโมฆียะกรรม จำเลยจึงหามีสิทธิบอกล้างไม่…”
พิพากษายืน.