คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1076/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

วันเกิดเหตุผู้เสียหายมอบกุญแจบ้านและกุญแจห้องนอนให้จำเลยกับพวกเข้าไปเดินสายไฟในบ้าน และจำเลยกับพวกทำไฟรวมกันอยู่ในห้องนอน ถือได้ว่าจำเลยได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องนอนด้วยการที่จำเลยลักเอาสายสร้อยข้อมือที่วางอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอนไป ย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์ธรรมดา มิใช่ลักทรัพย์ในเคหสถาน และศาลมีอำนาจที่จะลงโทษในความผิดฐานลักทรัพย์ธรรมดาได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2524 เวลากลางวันได้มีคนร้ายลักทรัพย์หลายรายการรวมเป็นเงิน 33,320 บาท ของนางไฮฮั้วไปโดยคนร้ายได้บุกเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานที่อยู่ของนางไฮฮั้วแล้วลักเอาทรัพย์ต่าง ๆ ซึ่งเก็บไว้ในลิ้นชักตู้กระจกมีกุญแจใส่ไว้สำหรับคุ้มครองทรัพย์ภายในบ้าน เจ้าพนักงานจับจำเลยได้และยึดสร้อยข้อมือแบบสามกษัตริย์ 1 เส้น อันเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งที่ถูกลักไปอยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งนี้ตามวันเวลาและสถานที่ดังกล่าวข้างต้น จำเลยลักทรัพย์ของนางไฮฮั้วไปหรือมิฉะนั้นจำเลยรับเอาสายสร้อยข้อมือแบบสามกษัตริย์ 1 เส้นไว้จากคนร้ายโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 357 กับขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่เจ้าทรัพย์ด้วย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 จำคุก 2 ปี คำขออื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงคงฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(8) หรือไม่ การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าในวันเกิดเหตุจำเลยเข้าไปเดินสายไฟในบ้านที่ผู้เสียหายเช่าอยู่ เป็นทำนองว่าผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายโดยปริยาย อย่างไรก็ดีปรากฏข้อเท็จจริงว่าสายสร้อยข้อมือของกลางที่จำเลยเอาไปนั้นวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอนของผู้เสียหาย แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยว่าจำเลยได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องนอนของผู้เสียหายด้วยหรือไม่ ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาจึงไม่พอแก่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยข้อเท็จจริงไปเสียทีเดียว และวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องนอนของผู้เสียหายด้วยการที่จำเลยลักเอาสร้อยข้อมือของกลางที่วางอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอนไป จำเลยย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์ธรรมดา มิใช่ลักทรัพย์ในเคหสถาน และศาลย่อมมีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ธรรมดาได้

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share