คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2320/2526

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเพิ่งรู้จักหญิงผู้เสียหายได้ 1 วัน วันรุ่งขึ้นก็ชวนผู้เสียหายไปที่ห้องทำงานของจำเลย แล้วใช้เน็คไทรัดคอ ชกต่อย ใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้เสียหายที่ใกล้ลิ้นปี่ลึกถึงเยื่อหุ้มหัวใจ ดังนี้ จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 จำคุก 18 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า ผู้เสียหายทำงานที่ร้านอัศวเทพซึ่งเป็นร้านขายอาหาร เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2524 เวลาประมาณ 21 นาฬิกา จำเลยซึ่งผู้เสียหายไม่เคยรู้จักมาก่อนมาที่ร้านอัศวเทพถามผู้เสียหายถึงเพื่อนของจำเลยว่ามาถามหาจำเลยหรือเปล่า โดยจำเลยไม่บอกชื่อเพื่อน บอกแต่การแต่งกายของเพื่อน ผู้เสียหายบอกว่าไม่เห็น จำเลยคุยกับผู้เสียหายอยู่นานประมาณ 1 ชั่วโมงก็ออกจากร้านไป ในคืนนั้นจำเลยโทรศัพท์มาคุยกับผู้เสียหายอีกและชวนผู้เสียหายไปดูภาพยนตร์ในวันรุ่งขึ้นผู้เสียหายรับคำชวน วันที่ 4 เมษายน 2524 เวลาเช้าผู้เสียหายไปพบจำเลยตามนัด จำเลยไม่พาผู้เสียหายไปดูภาพยนตร์ แต่พาผู้เสียหายไปที่บริษัทสยามอินเตอร์อินเวสท์เมนท์แอนด์เครดิต จำกัด ซึ่งอยู่ที่แขวงสุรวงศ์ เขตบางรักกรุงเทพมหานคร ห้องทำงานของจำเลยอยู่ที่ชั้นสี่ จำเลยพาผู้เสียหายขึ้นไปบนชั้นสี่ จำเลยบอกให้ผู้เสียหายนั่งที่เก้าอี้ยาวหน้าห้องทำงานของจำเลยจำเลยชวนคุยเรื่องอื่นแล้วถามถึงความสูงและน้ำหนักของผู้เสียหาย ต่อมาถามว่าถ้าถูกรัดคอจะทำอย่างไร ผู้เสียหายตอบว่าไม่รู้ จำเลยบอกให้ผู้เสียหายยืนหันหน้าเข้าข้างฝา ทันใดนั้นจำเลยรัดคอผู้เสียหายด้วยเน็คไท จนผู้เสียหายหมดสติไป ผู้เสียหายรู้สึกตัวขึ้นมาเห็นเหล็กขูดชาฟท์ปักอยู่ที่หน้าอกของผู้เสียหายตรงลิ้นปี่ ผู้เสียหายร้องขึ้นเต็มเสียงว่า “หลวงพ่อช่วย” จำเลยชกผู้เสียหายและกระแทกเหล็กขูดชาฟท์ที่ปักคอผู้เสียหายอยู่ให้ลึกลงไปอีกผู้เสียหายหมดสติไปอีกสักพักหนึ่งจึงรู้สึกตัว จำเลยนั่งอยู่ข้างผู้เสียหาย ผู้เสียหายบอกว่าจำเลยจะเอาอะไรก็จะให้ จำเลยดึงเหล็กขูดชาฟท์ออกจากอกผู้เสียหาย สั่งไม่ให้ผู้เสียหายลุก ผู้เสียหายลุกขึ้นแล้ววิ่งหนี แต่ลงไปชั้นล่างไม่ได้เพราะติดประตูเหล็กที่บันไดที่จำเลยใส่กุญแจไว้ จำเลยดึงผู้เสียหายกลับมาที่เดิม เอากระดาษเช็ดเลือดที่หน้าอกผู้เสียหาย แล้วพาผู้เสียหายไปนอนที่เตียงในห้องเล็กข้างห้องเดิม ผู้เสียหายบอกว่าหน้ามืดขอยาดม จำเลยก็เอายาดมมาให้ ผู้เสียหายขอร้องให้จำเลยพาไปส่งโรงพยาบาล จำเลยพูดว่าสงสัยว่าผู้เสียหายจะกินยาเข้าไปจึงทำร้ายตัวเอง จำเลยเห็นเหตุการณ์จึงเข้าช่วย ผู้เสียหายเกรงว่าจำเลยจะไม่นำส่งโรงพยาบาลจึงบอกว่าถ้าจำเลยนำผู้เสียหายไปส่งโรงพยาบาลแล้ว ผู้เสียหายจะไม่เอาเรื่องและจะให้บอกว่าทำร้ายตัวเองก็ได้ จำเลยจึงพาผู้เสียหายลงไปชั้นล่าง ไปถึงปากตรอกแล้วผู้เสียหายเรียกรถยนต์นั่งรับจ้าง รถหยุดรับแล้วพากันไปที่โรงพยาบาลเลิดสินระหว่างอยู่ในรถจำเลยบอกผู้เสียหายว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้แก่ผู้ใด เมื่อถึงโรงพยาบาลแล้วจะให้เงินผู้เสียหาย 1,000 บาท และเช่าบ้านให้อยู่ เมื่อถึงโรงพยาบาลเลิดสินแล้วจำเลยไม่ยอมออกค่ารถ ผู้เสียหายจึงเป็นฝ่ายออกค่ารถจำเลยบอกเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลว่าผู้เสียหายเป็นน้องจำเลยและผู้เสียหายทำร้ายตนเอง เมื่อเข้าห้องผ่าตัดแล้วผู้เสียหายบอกนางสาวนิทรา สวนปานและนางสาวทัศนีย์ ช่วยประสิทธิ์ พยาบาลเวรแผนกปฐมพยาบาลว่าคนที่พาผู้เสียหายมาเป็นคนแทง นางสาวทัศนีย์จึงกระซิบบอกเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลอีกคนหนึ่งให้เฝ้าดูจำเลยไว้แล้วโทรศัพท์แจ้งเหตุให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจมาถึงโรงพยาบาลเลิดสินปรากฏว่าจำเลยหนีไปแล้ว

จำเลยนำสืบว่า จำเลยสำเร็จการศึกษาวิชาแพทย์มาจากประเทศอังกฤษขณะเกิดเหตุจำเลยทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายข่าวของบริษัทสยามอินเตอร์อินเวสต์เมนท์แอนด์เครดิต จำกัด วันเกิดเหตุจำเลยมาทำงานที่บริษัทดังกล่าวตั้งแต่เวลา 7 นาฬิกา โดยพาภริยาซึ่งตาบอดทั้งสองข้างกับบุตรของจำเลยมาด้วย เวลาประมาณ 9 นาฬิกาจำเลยก็กลับบ้าน วันเกิดเหตุเป็นวันเสาร์เฉพาะวันเสาร์จำเลยจะทำงานเพียงครึ่งวันเท่านั้น วันเกิดเหตุจำเลยกลับตั้งแต่เวลา 9 นาฬิกาเพราะทำงานเสร็จแล้ว จำเลยถูกจับในข้อหาลักตัดชิ้นส่วนของศพตามโรงพยาบาลต่าง ๆ พนักงานสอบสวนให้ผู้เสียหายและพยานโจทก์คดีนี้มาดูตัวจำเลยก่อนที่จำเลยถูกควบคุมระหว่างสอบสวนในคดีดังกล่าว

พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมิได้ทำร้ายผู้เสียหาย พยานบุคคลของโจทก์เบิกความแตกต่างกันเป็นพิรุธ ไม่สมเหตุสมผล บางคนเคยมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลย ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องนั้น โจทก์มีผู้เสียหายมาเบิกความยืนยันว่าจำเลยทำร้ายผู้เสียหายปรากฏรายละเอียดตามที่ศาลฎีกายกขึ้นกล่าวในข้อนำสืบของโจทก์ และเป็นผู้นำผู้เสียหายไปส่งโรงพยาบาลเลิดสิน ตามคำขอร้องผู้เสียหาย และโจทก์มีนางสาวนิทรา สวนปาน และนางสาวทัศนีย์ ช่วยประสิทธิ์ เวรพยาบาลแผนกปฐมพยาบาลของโรงพยาบาลเลิดสิน ในวันเกิดเหตุมาเบิกความว่าจำเลยเป็นผู้นำผู้เสียหายมาส่งโรงพยาบาล เมื่อลับหลังจำเลยแล้วผู้เสียหายบอกว่าคนที่นำผู้เสียหายมาส่งโรงพยาบาลซึ่งหมายถึงจำเลยคือผู้ที่แทงผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่เคยทราบว่าจำเลยทำงานที่ใด ถ้าจำเลยไม่พาผู้เสียหายไปที่บริษัทสยามอินเตอร์อินเวสท์เมนท์แอนด์เครดิต จำกัด และทำร้ายผู้เสียหายที่บริษัทดังกล่าวแล้ว ในวันเกิดเหตุไม่มีเหตุผลแต่อย่างใดที่ผู้เสียหายจะบอกร้อยตำรวจเอกสมภพทิวถนอม พนักงานสอบสวนผู้ไปสอบสวนปากคำผู้เสียหายที่โรงพยาบาลเลิดสินว่าชายที่พาผู้เสียหายมาโรงพยาบาลเป็นคนแทงผู้เสียหายที่บริษัทสยามฯ อินเตอร์ซึ่งอยู่แถวสีลม จนเป็นเหตุให้ร้อยตำรวจเอกสมภพ ทิวถนอม ไปที่บริษัทสยามอินเตอร์อินเวสท์เมนท์แอนด์เครดิต จำกัด เพื่อดูที่เกิดเหตุในวันเกิดเหตุนั่นเองเพราะผู้เสียหายไม่เคยรู้จักชื่อบริษัทนี้มาก่อน จะเห็นได้จากการที่บอกชื่อบริษัทนี้ว่า “สยาม ๆ กับอินเตอร์” และไม่เคยมาที่บริษัทนี้มาก่อน ผู้เสียหายเพิ่งรู้จักจำเลยก่อนวันเกิดเหตุเพียงวันเดียว นางสาวนิทรา สวนปาน และนางสาวทัศนีย์ช่วยประสิทธิ์ ไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน ที่จำต้องมาเป็นพยานโจทก์ก็เพราะบุคคลทั้งสองเข้าเวรพยาบาลขณะที่ผู้เสียหายมาถึงโรงพยาบาลเลิดสินรู้เห็นเหตุการณ์ตอนนี้ ไม่มีเหตุผลที่จะระแวงว่าผู้เสียหาย นางสาวนิทรา สวนปานและนางสาวทัศนีย์ จะแกล้งปรักปรำจำเลย เมื่อร้อยตำรวจเอกสมภพ ทิวถนอมพนักงานสอบสวนเอารูปถ่ายหมู่พนักงานบริษัทสยามอินเตอร์อินเวสท์เมนท์แอนด์เครดิต จำกัด ซึ่งมีรูปจำเลยรวมอยู่ด้วยมาให้พยานทั้งสามดู ผู้เสียหายชี้รูปจำเลยว่าเป็นคนใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้เสียหาย และนางสาวนิทรากับนางสาวทัศนีย์ต่างชี้รูปจำเลยว่าเป็นคนที่พาผู้เสียหายมาที่โรงพยาบาลเลิดสินนอกจากนี้โจทก์ยังมีนายไพโรจน์ ทองอ่อน และนายการันย์ เหล่าเมธากรพนักงานเฝ้าบริษัทสยามอินเตอร์อินเวสท์เมนท์แอนด์เครดิต จำกัด มาเบิกความว่า วันเกิดเหตุเป็นวันเสาร์บริษัทดังกล่าวไม่เปิดทำงาน เวลาประมาณ 8 นาฬิกาจำเลยโทรศัพท์มาบอกนายไพโรจน์ ทองอ่อน ว่าจะมาทำงาน นายไพโรจน์ ทองอ่อน บอกให้จำเลยรออยู่แล้วโทรศัพท์ไปบอกผู้จัดการบริษัท ผู้จัดการอนุญาตให้จำเลยมาทำงานได้ นายไพโรจน์ ทองอ่อน จึงบอกจำเลยซึ่งกำลังรอฟังโทรศัพท์อยู่ว่าผู้จัดการอนุญาตให้จำเลยมาทำงานได้ นายไพโรจน์ ทองอ่อน กับนายการันย์ เหล่าเมธากร จะออกไปธุระที่อื่นจึงบอกจำเลยทางโทรศัพท์ว่าลูกกุญแจประตูหน้าบริษัทจะวางไว้ที่ห้องน้ำชาย แล้วนายไพโรจน์ทองอ่อน กับนายการันย์ เหล่าเมธากร ก็ออกจากบริษัทไป ที่จำเลยอ้างว่านายไพโรจน์ ทองอ่อน เคยหาว่าจำเลยทำงานช้าจนเกิดเป็นปากเสียงกันนั้นแม้จะเป็นความจริงก็ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องนี้จะเป็นสาเหตุให้นายไพโรจน์ ทองอ่อนแกล้งปรักปรำจำเลย เพราะนายการันย์ เหล่าเมธากร ก็เบิกความตรงกับนายไพโรจน์ ทองอ่อน ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำผู้เสียหายนางสาวนิทรา สวนปาน และนางสาวทัศนีย์ ช่วยประสิทธิ์ว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยใช้เน็คไทรัดคอ ชกต่อยผู้เสียหาย แล้วใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้เสียหาย การที่จำเลยใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้เสียหายที่ใกล้ลิ้นปี่ลึกถึงเยื่อหุ้มหัวใจ ฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ข้อแตกต่างระหว่างคำเบิกความของพยานทั้งสามที่จำเลยยกขึ้นกล่าวในฎีกานั้น เป็นข้อแตกต่างในพลความไม่ใช่สาระสำคัญไม่เป็นเหตุที่จะพิพากษายกฟ้องที่จำเลยฎีกาว่า คดีไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บเพราะโจทก์ไม่ได้นำแพทย์หญิงเสมือนใจ (ที่ถูกแพทย์หญิงเหมือนใจ) สุรบท ผู้ทำรายงานชันสูตรบาดแผลของผู้เสียหายมาเบิกความนั้น ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 11 มกราคม 2525 ว่า จำเลยรับว่าผู้เสียหายมีบาดแผลตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้องจริง ฎีกาข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ที่จำเลยฎีกาว่า ตามแผนที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.6 มีข้อความว่าแผนที่ฉบับนี้ทำเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2524 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ และผู้เสียหายเป็นผู้นำชี้ แสดงว่าผู้เสียหายมิได้รับบาดเจ็บจนแพทย์ต้องผ่าตัดโดยด่วน เพราะถ้าผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายจริงตามฟ้องก็คงจะไปชี้ที่เกิดเหตุในวันที่ 4 เมษายน 2524ไม่ได้นั้น คดีได้ความจากคำผู้เสียหายว่าผู้เสียหายนำชี้ที่เกิดเหตุตามแผนที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.6 เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2524 ที่แผนที่เกิดเหตุฉบับนี้มีข้อความว่าทำขึ้นในวันที่ 4 เมษายน 2524 จึงเป็นเรื่องผิดพลาดไปและไม่เป็นเหตุที่ศาลจะพิพากษายกฟ้องได้ ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อพนักงานสอบสวนนำภาพถ่ายหมู่พนักงานบริษัทสยามอินเตอร์อินเวสท์เมนท์แอนด์เครดิต จำกัด ซึ่งมีรูปจำเลยรวมอยู่ด้วยมาให้ผู้เสียหายนางสาวนิทรา สวนปาน และนางสาวทัศนีย์ ช่วยประสิทธิ์ ดูพนักงานสอบสวนได้ตีกรอบสี่เหลี่ยมที่ใบหน้ารูปจำเลยไว้ เป็นการช่วยชี้แนะพยาน ไม่ชอบด้วยความยุติธรรมและเป็นพิรุธนั้น ปรากฏว่าในวันเกิดเหตุเมื่อร้อยตำรวจเอกสมภพ ทิวถนอม พนักงานสอบสวนมาถึงโรงพยาบาลเลิดสิน ชายคนที่พาผู้เสียหายมาโรงพยาบาลและผู้เสียหายกระซิบบอกเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลว่าเป็นคนที่ทำร้ายผู้เสียหายได้ไปจากโรงพยาบาลแล้ว และผู้เสียหายบอกว่าเกิดเหตุที่บริษัทที่มีชื่อว่า สยาม ๆ กับอินเตอร์ อยู่แถวสีลม ร้อยตำรวจเอกสมภพทิวถนอม ก็ไปที่บริษัทสยามอินเตอร์อินเวสท์เมนท์แอนด์เครดิต จำกัด แล้วเอารูปถ่ายหมู่พนักงานของบริษัทดังกล่าวมาให้ผู้เสียหายดู ผู้เสียหายชี้ที่รูปจำเลยแล้วบอกว่าเป็นคนที่ทำร้ายผู้เสียหาย ร้อยตำรวจเอกสมภพ ทิวถนอม ได้ตีกรอบรูปสี่เหลี่ยมที่ใบหน้ารูปจำเลยไว้ เอารูปดังกล่าวไปให้นางสาวนิทรา สวนปานและนางสาวทัศนีย์ ช่วยประสิทธิ์ ดู บุคคลทั้งสองก็ยืนยันว่าจำเลยคือคนที่พาผู้เสียหายมาโรงพยาบาล พนักงานสอบสวนจึงออกหมายจับจำเลย เมื่อได้ตัวจำเลยมาสอบสวนแล้วพนักงานสอบสวนก็จัดให้ผู้เสียหาย นางสาวนิทราสวนปาน และนางสาวทัศนีย์ ช่วยประสิทธิ์ ชี้ตัวผู้ต้องหาโดยนำจำเลยมาเข้าแถวกับบุคคลอื่นอีก 5 คน ผู้เสียหายก็ชี้ว่าจำเลยเป็นคนทำร้ายตนนางสาวนิทรา สวนปาน และนางสาวทัศนีย์ ช่วยประสิทธิ์ ชี้ว่าจำเลยเป็นคนพาผู้เสียหายมาโรงพยาบาลเลิดสินในวันเกิดเหตุ ที่พนักงานสอบสวนนำรูปถ่ายหมู่ที่มีรูปจำเลยรวมอยู่ด้วยมาให้พยานโจทก์ดูเช่นนี้เป็นวิธีการสืบสวนหาตัวคนร้าย เพราะขณะนั้นยังไม่มีผู้ใดทราบว่าผู้ร้ายรายนี้คือผู้ใด หาทำให้การสอบสวนคดีนี้เป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”

พิพากษายืน

Share