แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
วันเกิดเหตุผู้เสียหายมอบกุญแจบ้านและกุญแจห้องนอนให้จำเลยกับพวกเข้าไปเดินสายไฟในบ้าน และจำเลยกับพวกทำไฟรวมกันอยู่ในห้องนอน ถือได้ว่าจำเลยได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องนอนด้วย การที่จำเลยลักเอาสายสร้อยข้อมือที่วางอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอนไป ย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์ธรรมดา มิใช่ลักทรัพย์ในเคหสถาน และศาลมีอำนาจที่จะลงโทษในความผิดฐานลักทรัพย์ธรรมดาได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๒๔ เวลากลางวันได้มีคนร้ายลักทรัพย์หลายรายการรวมเป็นเงิน ๓๓,๓๒๐ บาท ของนางไฮฮั้วไปโดยคนร้ายได้บุกเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานที่อยู่ของนางไฮฮั้วแล้วลักเอาทรัพย์ต่าง ๆ ซึ่งเก็บไว้ในลิ้นชักตู้กระจกมีกุญแจใส่ไว้สำหรับคุ้มครองทรัพย์ภายในบ้าน เจ้าพนักงานจับจำเลยได้และยึดสร้อยข้อมือแบบสามกษัตริย์ ๑ เส้น อันเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งที่ถูกลักไปอยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งนี้ตามวันเวลาและสถานที่ดังกล่าวข้างต้น จำเลยลักทรัพย์ของนางไฮฮั้วไปหรือมิฉะนั้นจำเลยรับเอาสายสร้อยข้อมือแบบสามกษัตริย์ ๑ เส้น ไว้จากคนร้ายโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕, ๓๕๗ กับขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่เจ้าทรัพย์ด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ จำคุก ๒ ปี คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าลดโทษให้ ๑ ใน ๓ คงจำคุก ๑ ปี ๔ เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงคงฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๘) หรือไม่ การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าในวันเกิดเหตุจำเลยเข้าไปเดินสายไฟในบ้านที่ผู้เสียหายเช่าอยู่ เป็นทำนองว่าผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายโดยปริยาย อย่างไรก็ดีปรากฏข้อเท็จจริงว่าสายสร้อยข้อมือของกลางที่จำเลยเอาไปนั้นวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอนของผู้เสียหาย แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยว่าจำเลยได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องนอนของผู้เสียหายด้วยหรือไม่ ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาจึงไม่พอแก่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยข้อเท็จจริงไปเสียทีเดียว และวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องนอนของผู้เสียหายด้วย การที่จำเลยลักเอาสร้อยข้อมือของกลางที่วางอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอนไปจำเลยย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์ธรรมดา มิใช่ลักทรัพย์ในเคหสถาน และศาลย่อมมีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ธรรมดาได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔ ให้จำคุก ๑ ปี ๖ เดือน ลดโทษให้ ๑ ใน ๓ คงจำคุก ๑ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์