แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ชำระหนี้ค่าซื้อที่ดินที่ซื้อจากจำเลยให้แก่มารดาจำเลยและน้องชายจำเลยซึ่งอยู่บ้านเดียวกับจำเลย แล้วแจ้งให้จำเลยทราบในเวลาต่อมา แต่จำเลยกลับเพิกเฉยมิได้ปฏิเสธหรือโต้แย้ง และมิได้ใช้สิทธิติดตามทวงถามคงปล่อยให้โจทก์ครอบครองที่ดินที่ซื้อขาย จนล่วงเลยกำหนดเวลาชำระหนี้ถึง 8-9 ปี ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้ให้สัตยาบันรับรองการชำระหนี้ของโจทก์แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2502 จำเลยได้ทำหนังสือสัญญามัดจำขายที่ดินสวนยางเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่เศษ อยู่หมู่ที่ 1 ตำบลห้วยยอด อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง ให้แก่โจทก์เป็นจำนวนเงิน 6,000 บาท โจทก์ชำระเงินให้จำเลยในวันทำสัญญา 3,000 บาท จำเลยตกลงโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ในกำหนด 6 เดือน ปรากฏตามสำเนาหนังสือสัญญาท้ายฟ้อง ต่อมาโจทก์ได้ชำระเงินให้จำเลยอีกหลายครั้ง รวมเป็นเงิน 3,000 บาท ครบตามราคาที่ดินและขอให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ แต่จำเลยไม่ยอมโอนให้ จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า ได้ตกลงขายที่ดินให้โจทก์ และได้รับเงินในวันทำสัญญา 3,000 บาทจริงตามฟ้อง หลังจากนั้นโจทก์ชำระเงินราคาที่ดินให้จำเลยอีกเพียง 400 บาท จำเลยได้ขอรับเงินที่ยังค้างอีก 2,600 บาท และบอกให้ไปทำการโอนที่ดินต่อกัน แต่โจทก์ไม่ยอมชำระให้จนล่วงพ้น 6 เดือนตามสัญญาแล้ว จำเลยจึงไม่ยอมโอนที่ดินให้ และถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยมีสิทธิริบเงินมัดจำ
ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์ได้ชำระเงินค่าที่ดินให้จำเลยไปครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องโอนที่ดินให้แก่โจทก์ พิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินตามสัญญามัดจำแก่โจทก์ ณ ที่ว่าการ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรังหากจำเลยไม่โอน ก็ให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงแทนเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่โจทก์ชำระเงินค่าที่ดิน 2,300 บาทให้นายอุดรน้องชายจำเลยนั้น นายอุดรไม่มีอำนาจรับชำระหนี้จากโจทก์แทนจำเลย การที่จำเลยรู้แล้วไม่ได้ว่าอะไรจะถือว่าจำเลยยอมรับหรือให้สัตยาบันแล้วไม่ได้ เห็นว่า โจทก์ชำระเงินให้จำเลยยังไม่ครบถ้วน พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์
ต่อมาโจทก์ถึงแก่กรรม นางถนอม ธาดาธนากร ภรรยาได้ยื่นคำร้องขอรับมรดกความ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาต
นางถนอม ธาดาธนากร ผู้เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ฎีกา
คดีมีประเด็นว่า การที่นายอุดรน้องชายจำเลยรับเงิน 2,300 บาทไปแทนจำเลยนั้น จะถือว่าโจทก์ได้ชำระเงินให้จำเลยโดยชอบหรือไม่ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้ชำระค่าซื้อที่ดินจากจำเลยให้แก่นางสร้อยมารดาจำเลยและนายอุดรน้องชายจำเลย โดยได้บอกให้จำเลยทราบแล้ว การชำระหนี้ในกรณีเช่นนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 315 ได้บัญญัติไว้ว่า “อันการชำระหนี้นั้น ต้องทำให้แก่ตัวเจ้าหนี้หรือแก่บุคคลผู้มีอำนาจรับชำระหนี้แทนเจ้าหนี้ การชำระหนี้ทำให้แก่ผู้ไม่มีอำนาจรับชำระหนี้นั้น ถ้าเจ้าหนี้ให้สัตยาบัน ก็นับว่าสมบูรณ์” การที่โจทก์ชำระหนี้ให้แก่มารดาจำเลยและนายอุดรน้องชายจำเลยซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดอยู่บ้านเดียวกับจำเลย แล้วแจ้งให้จำเลยทราบในเวลาต่อมานั้น หากจำเลยมิได้รับชำระหนี้จริง ก็ย่อมเป็นวิสัยของจำเลยที่จะปฏิเสธว่าตนยังมิได้รับชำระ แต่จำเลยกลับเฉยเสียมิได้ปฏิเสธหรือโต้แย้งคัดค้านประการใด และก็มิได้ใช้สิทธิติดตามทวงถาม คงปล่อยให้โจทก์ครอบครองที่พิพาทอยู่จนระยะเวลาล่วงเลยกำหนดเวลาชำระหนี้ถึง 8-9 ปี เช่นนี้ จึงถือได้ว่าจำเลยได้ให้สัตยาบันรับรองการชำระหนี้ของโจทก์แล้ว การชำระหนี้ของโจทก์ย่อมสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 315 แล้ว
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น