คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10733/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้จำเลยที่ 1 ผู้กู้ยืมเงินจากโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การ ส่วนจำเลยอื่นบางรายซึ่งเป็นผู้รับโอนทรัพย์จำนองได้ให้การต่อสู้ไว้ว่าการคิดดอกเบี้ยของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศของโจทก์ตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ แต่โจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฏว่าได้มีประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยตามพ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ฉบับที่ใช้บังคับอยู่ในขณะกู้ยืมเงิน ที่ให้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามอัตราที่ระบุในสัญญากู้เงินทั้งสามฉบับที่จำเลยที่ 1 กู้ยืม การคิดดอกเบี้ยของโจทก์ในส่วนนี้ซึ่งเกินกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จึงฝ่าฝืนข้อห้ามตาม พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 (ก) และตกเป็นโมฆะ
อนึ่ง โจทก์ฟ้องและนำสืบว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้ต้นเงินตามสัญญากู้เงินฉบับแรกลงวันที่ 16 สิงหาคม 2533 จำนวน 9,346,800.15 บาท แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระต้นเงินตามสัญญาฉบับนี้แก่โจทก์ 10,000,000 บาท จึงเกินกว่าความรับผิดของจำเลยที่ 1 ตามฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246, 247 โดยเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระเงิน 51,255,311.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.50 ต่อปี ของต้นเงิน 25,984,114.06 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระขอให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งเจ็ดออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน25,984,114.06 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินดังกล่าวอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 เมษายน 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองคือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 21150,42693, 42694, 42695, 42696, 42697, 42698, 42699, 61137,61138, 61142, 61143, 61152, 61153, 61154, 61158, 61162, 61163, 61164 และ 61165 ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 50,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ในส่วนสัญญากู้เงินฉบับแรกลงวันที่ 16 สิงหาคม 2533 ให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้โจทก์จำนวน 10,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินที่ค้างชำระหนี้นับแต่วันที่ 4 เมษายน 2538 จนกว่าชำระเสร็จ โดยให้นำจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระหนี้บางส่วนซึ่งโจทก์นำไปคิดหักชำระหนี้ในส่วนดอกเบี้ยที่เป็นโมฆะ รายละเอียดตามการ์ดบัญชี มาคิดหักชำระหนี้ในส่วนต้นเงินตามสัญญากู้เงินฉบับแรกที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระหนี้แก่โจทก์ออกด้วย แต่ทั้งนี้ยอดหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 1 รับผิดจะต้องไม่เกินฟ้องโจทก์ ในส่วนสัญญากู้เงินฉบับที่สองและฉบับที่สาม ลงวันที่ 17 สิงหาคม 2533 และลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2535 ให้ยกฟ้องโจทก์โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายในกำหนดอายุความ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เห็นสมควรให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ามีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ข้อต่อไปว่า ที่ศาลอุทธรณ์ให้นำดอกเบี้ยซึ่งเป็นโมฆะและจำเลยที่ 1 ชำระแก่โจทก์ไว้แล้วมาหักจากต้นเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระแก่โจทก์ชอบหรือไม่ คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงินเป็นโมฆะ แต่ไม่นำดอกเบี้ยดังกล่าวที่จำเลยที่ 1 ชำระให้แก่โจทก์ไว้แล้วมาหักจากต้นเงิน เพราะจำเลยที่ 1 ชำระไปตามอำเภอใจโดยรู้ว่าตนไม่มีความผูกพันที่ต้องชำระโจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ว่าดอกเบี้ยไม่เป็นโมฆะ แต่จำเลยทั้งเจ็ดไม่อุทธรณ์ ประเด็นในชั้นอุทธรณ์จึงมีเพียงว่าดอกเบี้ยเป็นโมฆะหรือไม่ ไม่มีประเด็นว่าจะนำดอกเบี้ยที่เป็นโมฆะซึ่งจำเลยที่ 1 ชำระให้แก่โจทก์ไว้แล้วมาหักจากต้นเงินได้หรือไม่ และถือว่าประเด็นนี้ยุติไปตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ยกประเด็นนี้ขึ้นวินิจฉัยเองโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ไม่รู้ว่าเป็นการชำระดอกเบี้ยที่เป็นโมฆะ จึงไม่ถือเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจเหมือนหนึ่งรู้ว่าตนไม่มีความผูกพันที่ต้องชำระ จำเลยที่ 1 จึงเรียกคืนได้โดยให้นำมาหักต้นเงินนั้น เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นในชั้นอุทธรณ์ซึ่งไม่ชอบ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
อนึ่ง โจทก์ฟ้องและนำสืบว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้ต้นเงินตามสัญญากู้เงินฉบับแรกลงวันที่ 16 สิงหาคม 2533 จำนวน 9,346,800.15 บาท แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระต้นเงินตามสัญญาฉบับนี้แก่โจทก์ 10,000,000 บาท จึงเกินกว่าความรับผิดของจำเลยที่ 1 ตามฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246, 247 โดยเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญากู้เงินฉบับแรกลงวันที่ 16 สิงหาคม 2533 จำนวน 9,346,800.15 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 เมษายน 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยไม่นำดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 1 ชำระให้แก่โจทก์ไว้แล้วมาหักจากต้นเงิน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share