คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1071/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

บ้านจำเลยที่ 2 อยู่ห่างบ้านจำเลยที่ 1 ประมาณ 50 เมตรหลังจากจำเลยที่ 2 พา ว.และพลตำรวจฉ. ไปซื้อเฮโรอีนที่บ้านจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ออกจากบ้านจำเลยที่ 1 พร้อม ว.และพลตำรวจ ฉ. ไปได้ประมาณ 20 เมตรก็ถูกจับ ต่อมาจำเลยที่ 1ถูกจับที่บ้านพร้อมเฮโรอีนที่เหลือจากการจำหน่าย เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ครอบครองเฮโรอีนส่วนที่เหลือจากการจำหน่าย กรณีมิใช่เป็นการที่จำเลยที่ 2 แบ่งหน้าที่กันกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 2 จะให้การรับสารภาพข้อหาความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนก็ลงโทษจำเลยที่ 2 ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 15, 26, 57, 66, 76, 92, 102พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 4, 8, 9ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ริบบ้องกัญชา2 บ้อง นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่595/2533 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 595/2533 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15, 26, 57, 66 วรรคหนึ่ง,76 วรรคหนึ่ง, 92 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรม ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานจำหน่ายเฮโรอีน จำคุกคนละ 5 ปีฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกคนละ 5 ปี ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองจำคุกคนละ 3 เดือน ฐานเสพกัญชา จำคุกคนละ3 เดือน รวมเป็นโทษจำคุกคนละ 10 ปี 6 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 7 ปี ริบบ้องกัญชา นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 595/2533หมายเลขแดงที่ 1054/2533 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 เฉพาะความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคหนึ่ง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแต่เฉพาะตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1มีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า บ้านจำเลยที่ 2 อยู่ห่างบ้านจำเลยที่ 1 ประมาณ 50 เมตรหลังจากจำเลยที่ 2 พานายวิรัตน์และพลตำรวจเฉลิมไปซื้อเฮโรอีนที่บ้านจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 2 ก็ออกจากบ้านจำเลยที่ 1 ไปพร้อมกับนายวิรัตน์และพลตำรวจเฉลิม เมื่อออกจากบ้านจำเลยที่ 1ไปได้ประมาณ 20 เมตร จำเลยที่ 2 ก็ถูกจับ ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ถูกจับที่บ้านพร้อมเฮโรอีนที่เหลือจากการจำหน่าย จึงเป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ครอบครองเฮโรอีนส่วนที่เหลือจากการจำหน่ายแต่อย่างใดเลย แม้จำเลยที่ 2 จะให้การรับสารภาพในข้อหานี้ด้วยทั้งชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ก็ลงโทษจำเลยที่ 2 ไม่ได้ กรณีมิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 แบ่งหน้าที่กันกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ดังที่โจทก์ฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ในข้อหาความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share