แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ทรัพย์สินที่ให้เช่าจะมิใช่ทรัพย์สินของโจทก์ แต่เมื่อจำเลยยอมทำสัญญาเช่ากับโจทก์แล้ว ทั้งสองฝ่ายย่อมต้องผูกพันตามสัญญา เมื่อจำเลยผิดสัญญา โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย การที่กรรมการบริษัทพ.จะมีมติให้โจทก์นำทรัพย์สินของบริษัทออกให้เช่าหรือไม่และน้องสาวโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่เช่าจะให้อำนาจโจทก์นำทรัพย์สินออกให้เช่าช่วงได้หรือไม่ มิใช่ข้อสำคัญเพราะกรณีเป็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาในสัญญาเช่ามิใช่เป็นเรื่องการพิพาทกันระหว่างเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่ากับจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่า และเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าก็มิได้โต้แย้งอำนาจของโจทก์ในการนำทรัพย์สินดังกล่าวออกให้เช่าแต่ประการใด ข้อต่อสู้ที่ว่าจำเลยทำสัญญาเช่าในฐานะตัวแทนของบริษัทฉ.นั้น มิได้มีอยู่ในคำให้การของจำเลย ทั้งประเด็นดังกล่าวมิใช่เป็นส่วนหนึ่งของข้อต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้อง จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่า ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วจำเลยได้ส่งมอบทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งหนี้ตามสัญญาเช่าบางส่วนคืนแก่โจทก์แล้ว ซึ่งโจทก์แก้ฎีกาว่าไม่เคยได้รับมอบทรัพย์สินดังกล่าวคืนจากจำเลย เป็นเรื่องอันเกี่ยวด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นต้นที่จะทำคำวินิจฉัยชี้ขาด ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 302 วรรคแรก เมื่อศาลชั้นต้นอันเป็นศาลที่ได้พิจารณาชี้ขาดคดีในชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาดังกล่าวจำเลยจะฎีกาข้ามขั้นขึ้นมาหาได้ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่4987, 4988 และ 30328 บริษัทพื้นสำเร็จรูป จำกัด ซึ่งมีโจทก์เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ เป็นเจ้าของอาคารเลขที่ 102/36 หมู่ที่ 9ซอยปัญจมิตร (ลาดพร้าว 96) และทรัพย์สินรวม 102 รายการ จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดิน อาคาร และทรัพย์สินดังกล่าวกับโจทก์ โดยโจทก์ทำสัญญาในฐานะส่วนตัวและตัวแทนบริษัทพื้นสำเร็จรูป จำกัดกำหนดระยะ เวลาการเช่า 3 ปี หลังจากทำสัญญาเช่าแล้วปรากฏว่าจำเลยค้างค่าเช่ารวม 6 เดือน เป็นเงิน 180,000 บาท จำเลยจึงตกลงให้โจทก์เอาเงินที่จำเลยวางประกันไว้หักชำระค่าเช่า ต่อมาจำเลยค้างชำระค่าเช่าจนถึงวันครบอายุสัญญารวม 11 เดือน เป็นเงิน440,000 บาท และจำเลยยังคงเช่าทรัพย์สินต่าง ๆ ต่อไปอีกและค้างค่าเช่าอีกเป็นเงิน 80,000 บาท รวมค่าเช่าที่จำเลยค้างชำระโจทก์ 520,000 บาท โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามและบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย แต่จำเลยเพิกเฉยยังคงครอบครองใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่าเรื่อยมา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ขอคิดค่าเสียหายเดือนละ 40,000 บาท นับแต่วันบอกเลิกสัญญาถึงวันฟ้องเป็นเงิน 80,000 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินอาคารที่เช่าพร้อมส่งมอบที่ดินอาคาร และทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เช่าทั้งหมดคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินที่เช่าต่อไป ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายรวม 600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยของค่าเช่าที่ค้าง และชำระค่าเสียหายเดือนละ 40,000 บาท
จำเลยให้การว่า จำเลยเพียงเช่าเครื่องมือเครื่องอุปกรณ์ของบริษัทพื้นสำเร็จรูป จำกัด และโรงงานซึ่งปลูกบนที่ดินของผู้มีชื่อ ซึ่งไม่ใช่ของโจทก์ ทั้งจำเลยไม่เคยเช่าที่ดินของโจทก์ไม่เคยติดค้างค่าเช่าโจทก์ การหักเงินประกันตามสัญญาเช่าเป็นเรื่องบุคคลภายนอกกระทำต่อจำเลยและจำเลยได้ชำระค่าเช่า 80,000 บาทแก่ผู้มีชื่อซึ่งมีสิทธิได้รับค่าเช่าแล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและอาคารของโจทก์ที่ให้จำเลยเช่าและให้จำเลยส่งมอบที่ดินอาคาร และทรัพย์สินที่เช่าคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยให้จำเลยชำระค่าเช่าและค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน 600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในเงินต้นค่าเช่ากับให้ใช้ค่าเสียหายอีกเดือนละ 40,000 บาทนับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากทรัพย์สินที่เช่าของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจเอาทรัพย์สินของบริษัทพื้นสำเร็จรูป จำกัด ออกให้จำเลยเช่า เพราะกรรมการบริษัทไม่ได้มีมติให้นำทรัพย์สินออกให้เช่า สำหรับที่ดินโฉนดที่ 4988ของหม่อมราชวงศ์โศภา กาญจนะวิชัย น้องสาวโจทก์ซึ่งโจทก์เช่ามานั้น เจ้าของที่ดินก็ไม่ได้ยินยอมให้โจทก์มีอำนาจให้จำเลยเช่าช่วง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยตามสัญญาเช่าซึ่งโจทก์จำเลยทำไว้ต่อกัน แม้ทรัพย์สินที่ให้เช่าจะมิใช่ทรัพย์สินของโจทก์ แต่เมื่อจำเลยยอมทำสัญญาเช่ากับโจทก์แล้ว ทั้งสองฝ่ายย่อมต้องผูกพันตามสัญญา เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ การที่กรรมการบริษัทพื้นสำเร็จรูป จำกัด จะมีมติให้โจทก์นำทรัพย์สินของบริษัทออกให้เช่าหรือไม่ และหม่อมราชวงศ์โศภา น้องสาวโจทก์จะได้ให้อำนาจโจทก์นำทรัพย์สินออกให้เช่าช่วงได้หรือไม่นั้น มิใช่ข้อสำคัญเพราะกรณีนี้เป็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาในสัญญาเช่ามิใช่เป็นเรื่องการพิพาทกันระหว่างเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่ากับจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่า และเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าก็มิได้โต้แย้งอำนาจของโจทก์ในการนำทรัพย์สินดังกล่าวข้างต้นออกให้จำเลยเช่าแต่ประการใด
จำเลยฎีกาในข้อต่อไปว่า ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยทำสัญญาเช่าในฐานะเป็นตัวแทนของบริษัทฉันทนาวิศวะและอุตสาหกรรม จำกัด เมื่อบริษัทดังกล่าวเข้ามารับผิดตามสัญญาเช่าแล้ว จำเลยจึงพ้นจากความรับผิดตามสัญญาเช่านั้นไม่ถูกต้องเพราะความข้อนี้รวมอยู่ในประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องถือว่าจำเลยได้ยกขึ้นว่ามาในศาลชั้นต้นแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าข้อต่อสู้ที่ว่าจำเลยทำสัญญาเช่ารายนี้ในฐานะเป็นตัวแทนของบริษัทฉันทนาวิศวะและอุตสาหกรรม จำกัด นั้น มิได้มีอยู่ในคำให้การของจำเลยแต่อย่างใด ทั้งประเด็นข้อนี้ก็มิใช่เป็นส่วนหนึ่งของข้อต่อสู้ในเรื่องอำนาจฟ้องดังที่จำเลยกล่าวอ้าง จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วจำเลยได้ส่งมอบทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งหนี้ตามสัญญาเช่า ซึ่งได้แก่อาคารเลขที่ 102/36 และแบบแม่พิมพ์ต่าง ๆ คืนแก่โจทก์แล้วตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2528 ดังปรากฏตามสำเนาหนังสือเรื่องส่งมอบคืนโรงงานลงวันที่ 5 มิถุนายน 2528 ท้ายฎีกา จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในผลเสียหายที่เกิดขึ้นนับแต่วันที่โจทก์ได้รับมอบทรัพย์สินคืนเป็นต้นไป โจทก์แก้ฎีกาว่าโจทก์ไม่เคยได้รับมอบทรัพย์สินดังกล่าวคืนจากจำเลยและไม่เคยเห็นหนังสือส่งมอบคืนโรงงานท้ายฎีกา เพราะเป็นหนังสือที่จำเลยทำขึ้นฝ่ายเดียว ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหาตามฎีกาจำเลยและคำแก้ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้เป็นเรื่องอันเกี่ยวด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นต้นที่จะทำคำวินิจฉัยชี้ขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 302วรรคแรก เมื่อศาลชั้นต้นอันเป็นศาลที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีนี้ในชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อนี้แต่ประการใด จำเลยจะฎีกาข้ามขั้นขึ้นมาเช่นนี้หาได้ไม่
พิพากษายืน.