คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1068/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คำสั่งศาลที่แสดงว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ใช้ยันจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ แต่เมื่อจำเลยพิสูจน์ได้ว่าโจทก์เข้าอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยเจ้าของเดิมและโจทก์ไม่เคยแสดงการเป็นปรปักษ์ต่อเจ้าของเดิมและจำเลยซึ่งเป็นทายาทจำเลยจึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ เมื่อจำเลยไม่ต้องการให้โจทก์อาศัยต่อไป โจทก์ก็ต้องออกจากที่ดินพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโฉนดที่ 8087 ตำบลบ้านแพ้ว ปัจจุบันเป็นตำบลหนองบัว อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร เนื้อที่ 25 ไร่3 งานเป็นส่วนของโจทก์ 3 งาน และเป็นส่วนของจำเลย 25 ไร่โจทก์และจำเลยต่างครอบครองส่วนของตนเป็นส่วนสัด ต่อมาโจทก์มีความประสงค์จะแบ่งแยกที่ดินแปลงดังกล่าวออกเป็นส่วนของโจทก์โจทก์จึงได้มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้วแต่เพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ 8087เนื้อที่ 3 งาน ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องให้แก่โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินโฉนดที่ 8087 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว ที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวบางส่วนเนื้อที่ 3 งาน โดยการครอบครองปรปักษ์ตามคำสั่งศาลในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 144/2527 ของศาลชั้นต้นนั้นคำสั่งของศาลไม่ผูกพันจำเลย และในระหว่างที่โจทก์ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว จำเลยไม่ทราบเรื่องโจทก์ไม่เคยครอบครองปรปักษ์ที่ดินแปลงดังกล่าวเนื้อที่ 3 งาน จนกระทั่งได้กรรมสิทธิ์ โจทก์เข้ามาอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าวในฐานะผู้อาศัย และได้รับอนุญาตให้อยู่ในเนื้อที่เพียง 70 ตารางวาเท่านั้นขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่าที่ดินส่วนที่พิพาทกันเนื้อที่ 3 งานซึ่งศาลมีคำสั่งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 144/2527 ของศาลชั้นต้นจำเลยมีสิทธิดีกว่าโจทก์และเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินส่วนที่พิพาทดังกล่าวอีกต่อไป โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่พิพาทกันในคดีนี้โดยการครอบครองปรปักษ์ ตามคำสั่งศาลในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 144/2527 ของศาลชั้นต้น และคำสั่งดังกล่าวไม่ผูกพันจำเลย เพราะจำเลยเพิ่งทราบเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้นั้นเป็นความเท็จ เพราะในการยื่นคำร้องขอในคดีดังกล่าว โจทก์ได้ส่งสำเนาคำร้องขอไปให้จำเลย และจำเลยได้ทราบถึงการร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์โดยชอบแล้วที่จำเลยอ้างว่าคำเบิกความของโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่144/2527 ของศาลชั้นต้นเป็นความเท็จนั้น เหตุใดเมื่อจำเลยได้รับสำเนาคำร้องขอของโจทก์แล้ว จำเลยจึงไม่คัดค้านเสียแต่แรก กลับปล่อยให้โจทก์ดำเนินคดีต่อไปจนศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้องแย้งศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินแปลงพิพาทในโฉนดที่ 8087 ตำบลบ้านแพ้ว(หนองบัว) อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร เนื้อที่ 3 งานเป็นของจำเลย ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามประเด็นข้อพิพาทข้อแรกว่า คำสั่งศาลในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 144/2527 ของศาลจังหวัดสมุทรสาครผูกพันจำเลยหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคสอง (2) บัญญัติว่า คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจใช้ยันบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า ข้อเท็จจริงตามคำสั่งศาลในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่144/2527 ศาลสั่งว่า ที่ดินเนื้อที่ 3 งาน ตามแผนที่สังเขปท้ายคำร้อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดที่ 8087 ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ อันเป็นการวินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ จึงใชัยันจำเลยได้ตามนัยแห่งกฎหมายดังกล่าวแล้ว คงมีปัญหาต่อไปว่า จำเลยพิสูจน์ว่ามีสิทธิดีกว่าโจทก์ได้หรือไม่ปัญหานี้จำเลยมีพยาน คือนายหนู เอกนุ่มเบิกความว่า โจทก์เคยขอร้องให้พยานไปพูดกับจำเลยว่า โจทก์ขอซื้อที่ดินพิพาทเป็นเงิน 20,000 บาท พยานไปบอกจำเลย จำเลยไม่ยอมขายโจทก์ก็นำสืบยอมรับในเรื่องนี้ แต่เถียงว่าไม่ใช่เป็นการซื้อขายหากแต่ถ้าจำเลยยอมไปโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ ก็จะให้เงิน 20,000บาท แก่จำเลย ซึ่งก็เป็นการซื้อขายนั่นเอง ดังนั้นเห็นว่าหากโจทก์ได้ซื้อที่ดินพิพาทจากนางรอดเจ้าของเดิมมาจริงตามเอกสารหมาย จ.1 โจทก์ก็ไม่จำเป็นจะต้องขอซื้อจากจำเลยอีก ทั้งในสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 3 ก็ระบุว่าผู้จะขายจะจัดการแบ่งแยกและโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้จะซื้อให้เสร็จสิ้นภายในปี พ.ศ. 2490 หากโจทก์ได้ซื้อจากนางรอดจริง โจทก์ก็ชอบที่จะเรียกร้องให้นางรอดปฏิบัติตามสัญญาภายในกำหนดหรือเวลาใกล้เคียงกัน แต่โจทก์เพิกเฉย จนน่าเชื่อว่ามิได้มีการซื้อขายจากนางรอด แต่โจทก์เข้าไปอยู่ในที่ดินพิพาทโดยการอาศัยนางรอดตามที่จำเลยนำสืบนอกจากนี้ยังได้ความว่า เมื่อทายาทของนางรอดแบ่งแยกที่ดินกันโจทก์ก็ไม่ได้โต้แย้งว่าโจทก์ได้ซื้อที่ดินส่วนหนึ่งจากนางรอด และเมื่อจำเลยนำที่ดินของจำเลยซึ่งรวมทั้งที่ดินพิพาทไปจำนองธนาคารนครหลวงไทย จำกัด สาขาบ้านแพ้ว โจทก์ก็มิได้โต้แย้งแต่อย่างใดว่าทำให้โจทก์เสียหายข้อนำสืบของจำเลยจึงฟังได้ว่าโจทก์ไม่เคยแสดงการเป็นปรปักษ์ต่อนางรอดเจ้าของเดิมและจำเลยซึ่งเป็นทายาทจำเลยจึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์”
ส่วนประเด็นข้อต่อมาที่ว่า จำเลยให้โจทก์อาศัยหรือไม่ตามข้อเท็จจริงที่วินิจฉัยมาแล้วว่า โจทก์ได้อาศัยนางรอดอยู่ในที่ดินพิพาท เมื่อที่ดินตกทอดเป็นของจำเลย จำเลยไม่ได้ขับไล่โจทก์ออกไปก็ถือได้ว่าจำเลยให้โจทก์อาศัยต่อมาโดยปริยาย แต่เมื่อจำเลยไม่ต้องการให้อาศัยต่อไป โจทก์ก็ต้องออกจากที่ดินพิพาท ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share