แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำให้การจำเลยชั้นสอบสวนซึ่งโจทก์ได้ระบุเป็นพยานไว้ในบัญชีระบุพยานโจทก์แล้ว และเมื่อโจทก์นำส่งศาล เวลาพยานผู้สอบสวนเบิกความ ศาลก็ได้ให้จำเลยตรวจดูแล้ว ดังนี้ย่อมรับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยไว้เป็น พยานหลักฐานได้ ไม่จำเป็นต้องคัดสำเนาให้จำเลยก่อนวันพิจารณา เพียงแต่ให้จำเลยดูหรืออ่านให้จำเลยฟัง ก็พอแล้วเพราะ ป.ม.วิ.อาญา มาตรา 240 อนุญาตไว้เช่นนั้น
พ.ร.บ.กักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ. 2479 ไม่มีข้อความใดขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๙๓ และ พ.ร.บ.กักกัน ฯลฯ
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ให้จำคุก ๘ เดือน เมื่อพ้นโทษแล้วให้ส่งตัวไปกักกัน มีกำหนด ๓ ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำให้การจำเลยชั้นสอบสวนนั้น โจทก์ได้ระบุเป็นพยานไว้ในบัญชีระบุพยานของโจทก์แล้ว เมื่อโจทก์ นำส่งศาลเวลาพยานผู้สอบสวนเบิกความ ศาลก็ได้ให้จำเลยตรวจดูแล้ว ดังนั้นจึงรับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยไว้ เป็นพยานหลักฐานได้ ไม่จำต้องคัดสำเนาให้จำเลยก่อนวันพิจารณา เพียงแต่ให้จำเลยดูหรืออ่านให้จำเลยฟังก็พอแล้ว เพราะ ป.ม.วิ.อาญา มาตรา ๒๔๐ อนุญาตไว้เช่นนั้น โจทก์จะต้องคัดสำเนาก็ต่อเมื่อจำเลยต้องการ และศาลเห็นสมควร สั่งเช่นนั้น
ส่วนปัญหาข้อกฎหมายที่เถียงว่า พ.ร.บ.กักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย ๒๔๗๙ ใช้บังคับไม่ได้เพราะเป็นกฎหมายขัดแย้งกับ รัฐธรรมนูญนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่มีข้อความใดขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ ข้อโต้เถียงของจำเลยฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษายืน.