แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นภรรยาผู้ตาย ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นบุตรขอให้ (1) ส่งทรัพย์สินของผู้ตายทั้งหมดให้โจทก์มีสิทธิยึดถือครอบครองแต่ผู้เดียว หรือว่า (2) ให้แบ่งปันทรัพย์ซึ่งโจทก์มีส่วนได้รับ 2,206 บาท ดังนี้ ศาลบังคับให้ตามฟ้องโจทก์ไม่ได้ เพราะคำขอข้อ 1 ไม่ใช่เรื่องขอเข้าจัดการมรดกตามกฎหมาย เป็นการขอเข้าครอบครองเฉยๆ ซึ่งจำเลยเป็นทายาทมีส่วนได้ในกองมรดกอยู่ด้วย จึงทำไม่ได้ คำขอข้อ 2 โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องเป็นเรื่องขอแบ่งสมรสและแบ่งมรดก จำเลยไม่มีโอกาสต่อสู้ในเรื่องสินเดิมของผู้ตาย ไม่มีทางจะแบ่งให้ในคดีนี้ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับนายแบนเป็นสามีภรรยากันมา ประมาณ 30 ปี เกิดบุตร 8 คนรวมทั้งจำเลยทั้งสอง เกิดทรัพย์สินหลายอย่างตามบัญชีท้ายฟ้องเมื่อ พ.ศ. 2488 ได้แยกกันอยู่ชั่วคราว ต่อมานายแบนตาย โจทก์จะเข้าปกครองทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้อง จำเลยขัดขวาง จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยส่งทรัพย์ทั้งหมดให้โจทก์มีสิทธิยึดถือครอบครองแต่ผู้เดียว ถ้าส่งไม่ได้ให้ใช้ราคา หรือให้แบ่งปันทรัพย์ซึ่งโจทก์มีส่วนได้รับ 2,206 บาท จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอแบ่งมรดกนายแบน เพราะโจทก์กับนายแบนได้หย่าขาดกันก่อนนายแบนตาย
ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์ยังไม่ได้หย่าขาดกับนายแบน โจทก์จึงมีสิทธิปกครองทรัพย์สิ่งของโจทก์กับนายแบนในฐานะผู้ปกครองได้พิพากษาให้โจทก์ปกครองทรัพย์รายนี้ต่อไป ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำของโจทก์มิใช่ขอเข้าจัดการมรดกเพื่อแบ่งปันให้ทายาทตามกฎหมาย เป็นการขอเข้าครอบครองเฉย ๆ ซึ่งทำไม่ได้ เพราะจำเลยก็เป็นทายาทของผู้ตาย ซึ่งมีส่วนได้ในกองมรดกนี้ด้วย ส่วนที่ขอแบ่งเป็นสมรสและมรดกนั้น โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องตั้งรูปคดีมาในทางนี้ตั้งแต่ต้น จึงไม่มีทางแบ่งให้ในคดีนี้
พิพากษายืน