แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ตรี จึงไม่รับ ฎีกาของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในประเด็นที่ว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์เร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ และการกระทำดังกล่าวเป็นการประมาทหรือไม่ ล้วนเป็นปัญหา ข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้ พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300,390 พระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 43,78,157,160 วรรคสอง แต่ความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300,390 กับความผิดตามพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43,157 เป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 อันเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 เดือน ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78,160 วรรคสอง จำคุก 1 เดือน รวมจำคุก 4 เดือน คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา อยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 3 เดือน จำเลยที่ 2มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 จำคุก 3 เดือน จำเลยที่ 2 เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน มีเหตุ บรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 เดือน โทษจำคุกของจำเลยทั้งสองเปลี่ยนเป็นโทษกักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1(อันดับ 124) จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 125)
คำสั่ง คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 2ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงผ่านทางแยกจนไม่สามารถหยุดรถหรือชะลอความเร็วให้ช้าลง พอที่จะขับหลบหลีกไม่ให้ชนรถคันอื่น เป็นเหตุให้เฉี่ยวชน รถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้ขับ จึงเป็นการกระทำโดย ประมาท ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ขับรถยนต์ เร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จึงไม่เป็นการกระทำโดยประมาทนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของ จำเลยที่ 1 นั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง