แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ในคำฟ้องและสัญญากู้ระบุว่าจำเลยที่ 1 รับเงินจำนวน1,500,000 บาท ไปจากโจทก์ครบถ้วนในวันทำสัญญากู้ และประเด็นข้อพิพาทมีว่าจำเลยที่ 1 รับเงินตามสัญญากู้ไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้วหรือไม่ดังนี้ การที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1 รับเงินไปจากโจทก์ก่อนวันทำสัญญากู้บ้าง ในวันทำสัญญากู้บ้าง และหลังวันทำสัญญากู้บ้างนั้น เป็นการนำสืบถึงที่มาหรือรายละเอียดในการที่จำเลยที่ 1รับเงินไปจากโจทก์ ไม่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น และไม่เป็นการนำพยานบุคคลมาสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร การฟ้องเรียกดอกเบี้ยค้างส่งภายใน 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 166นั้น อายุความ 5 ปี ต้องนับตั้งแต่เวลาที่อาจฟ้องเรียกเอาดอกเบี้ยได้ ไม่ใช่นับตั้งแต่วันที่ผู้กู้รับเงินกู้ไปจากผู้ให้กู้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2522 จำเลยที่ 1 ได้กู้เงินโจทก์จำนวน1,500,000 บาท และยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี สัญญากู้ไม่มีกำหนดเวลาชำระคืน ต่อมาวันที่ 7 พฤษภาคม 2522 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ได้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้ต่อโจทก์ โจทก์ได้มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือทวงถามจำเลยที่ 1ถึงที่ 6 ให้ชำระเงินจำนวน 1,500,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันทำสัญญากู้จนถึงวันฟ้อง เป็นเงิน 1,544,375 บาท แต่จำเลยทั้งหกไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 3,044,375 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 1,500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งหกให้การและแก้ไขคำให้การในทำนองเดียวกันว่าฟ้องของโจทก์ในส่วนดอกเบี้ยขาดอายุความ เพราะเรียกดอกเบี้ยเกินกว่า 5 ปี โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 ไม่ได้กู้ยืมเงินโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่ได้รับเงินจำนวน 1,500,000 บาทจากโจทก์ โจทก์รับว่าจะหาเงินกู้จากผู้อื่นจำนวน 1,500,000 บาท ให้จำเลยที่ 1 โดยให้จำเลยที่ 1 ลงชื่อผู้กู้ในแบบพิมพ์สัญญากู้แล้วมอบให้โจทก์ไว้ล่วงหน้า แต่โจทก์ไม่สามารถหาเงินกู้จากผู้อื่นมาให้จำเลยที่ 1 ได้สัญญากู้จึงไม่สมบูรณ์และไม่มีมูลหนี้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชำระเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันก่อนฟ้องย้อนหลังไป 5 ปี และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
โจทก์และจำเลยทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งหกฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งหกฎีกาว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้รับเงินกู้จำนวน 1,500,000 บาท ไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้วในวันที่ 2 พฤษภาคม 2522อันเป็นวันทำสัญญากู้ แต่โจทก์นำสืบว่า จำเลยที่ 1 รับเงินไปจากโจทก์ก่อนวันทำสัญญากู้ 500,000 บาท ในวันทำสัญญากู้ 500,000 บาท และหลังวันทำสัญญากู้อีก500,000 บาท เป็นการนำสืบนอกฟ้องและเป็นการนำพยานบุคคลมาสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารสัญญากู้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94(ข) นั้น เห็นว่า แม้ในฟ้องและสัญญากู้จะระบุว่าจำเลยที่ 1 รับเงินจำนวน1,500,000 บาท ไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้วในวันทำสัญญากู้ก็ตาม แต่การที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1 รับเงินไปจากโจทก์ก่อนวันทำสัญญากู้บ้าง ในวันทำสัญญากู้บ้างและหลังวันทำสัญญากู้บ้างนั้น เป็นการนำสืบถึงที่มาหรือรายละเอียดในการที่จำเลยที่ 1 รับเงินไปจากโจทก์ เป็นการนำสืบในประเด็นข้อพิพาทที่ว่าจำเลยที่ 1รับเงินตามสัญญากู้ไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้วหรือไม่เท่านั้น จึงไม่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น และไม่เป็นการนำพยานบุคคลมาสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารแต่อย่างใด ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งหกฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยทั้งหกฎีกาว่าโจทก์ฟ้องเรียกเอาดอกเบี้ยค้างส่งเกินกว่า 5 ปี สิทธิฟ้องเรียกเอาดอกเบี้ยจึงขาดอายุความเพราะโจทก์จะต้องฟ้องเรียกเอาดอกเบี้ยภายใน 5 ปี นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 รับเงินกู้ไปจากโจทก์นั้น เห็นว่าการฟ้องเรียกเอาดอกเบี้ยค้างส่งที่จะต้องฟ้องเรียกเอาภายใน 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 นั้นหมายความว่า ดอกเบี้ยจำนวนใดถึงกำหนดชำระแล้ว แต่ยังไม่ชำระก็ให้ฟ้องเรียกเอาได้ภายใน 5 ปี อายุความ 5 ปี นี้ต้องนับตั้งแต่เวลาที่อาจฟ้องเรียกเอาดอกเบี้ยได้ไม่ใช่นับตั้งแต่วันที่ผู้กู้รับเงินไปจากผู้ให้กู้ เพราะเวลาดังกล่าวดอกเบี้ยยังไม่ถึงกำหนดชำระและยังไม่รู้ว่าเมื่อถึงกำหนดชำระแล้วผู้กู้จะชำระดอกเบี้ยหรือไม่ ที่โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันกู้มาถึงวันฟ้องเป็นเวลา 6 ปี 10 เดือน 11 วัน แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งหกใช้ดอกเบี้ยค้างส่งให้แก่โจทก์นับแต่วันก่อนฟ้องย้อนหลังไป 5 ปีนั้นชอบแล้ว เพราะดอกเบี้ยดังกล่าวค้างส่งยังไม่เกิน 5 ปี ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งหกก็ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน