คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10659/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องโจทก์กล่าวถึงสภาพเดิมของที่ดินพิพาท ซึ่งสามารถใช้ทำนาปลูกข้าวได้ แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงเป็นที่ดินตาบอดออกสู่ถนนสาธารณะไม่ได้เพราะสภาพแวดล้อมของแปลงที่ดินข้างเคียงที่เปลี่ยนไป โดยโจทก์มุ่งหมายอธิบายการแบ่งทรัพย์ที่ดินพิพาทดังคำขอบังคับท้ายฟ้องให้เป็นไปโดยสอดคล้องกับการใช้สอยที่ดินของที่ดินข้างเคียง ไม่มีวลีใดหรือข้อความในวรรคตอนใดในคำฟ้องบ่งบอกว่าโจทก์และจำเลยทั้งสี่เคยตกลงกันแจ้งชัดหรือโดยปริยายตั้งวัตถุประสงค์การใช้สอยที่ดินพิพาทไว้โดยเฉพาะเจาะจงเพื่อทำนาหรือให้เช่าทำนาอย่างใดเลย และคำให้การต่อสู้คดีของจำเลยทั้งสี่เองที่ต่างสละประเด็นไปแล้ว ก็มิได้โต้เถียงไว้ในประการดังกล่าวเพียงแต่อ้างว่า การแบ่งแยกตามที่โจทก์ขอบังคับจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของรวมทุกคนและด้อยประโยชน์ที่เหมาะสมเท่านั้น ฟ้องโจทก์จึงมิใช่เรื่องเกี่ยวกับสิทธิในการจัดการทรัพย์ร่วมกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1358 ตามที่จำเลยทั้งสี่โต้เถียง ดังนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาโดยไม่นำหลักเกณฑ์เสียงข้างมากของเจ้าของรวมตลอดจนสิทธิตามสัดส่วนของเจ้าของรวมคนอื่นมาใช้บังคับ จึงชอบแล้ว
คดีนี้โจทก์ในฐานะเจ้าของรวมฟ้องขอแบ่งทรัพย์สินจากเจ้าของรวมคนอื่น จึงต้องนำ ป.พ.พ. มาตรา 1363 และมาตรา 1364 มาใช้บังคับแก่กรณี ที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาโต้แย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตาบอดไม่เป็นโอกาสอันควรที่จะทำการแบ่งแยกในขณะนี้เพราะจะทำให้ที่ดินเฉพาะส่วนเจ้าของรวมคนอื่นมีราคาต่ำไปด้วย และโดยสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำปัจจุบันอาจถูกผู้ซื้อกดราคาจนต่ำมากทำให้จำเลยทั้งสี่เสียหายอย่างร้ายแรง จึงอยู่ในบังคับตามมาตรา 1363 วรรคสามที่บัญญัติว่า “ท่านว่าเจ้าของรวมจะเรียกให้แบ่งทรัพย์สินในเวลาที่ไม่เป็นโอกาสอันควรไม่ได้” นั้น จำเลยทั้งสี่ได้แถลงสละประเด็นตามคำให้การและไม่ติดใจสืบพยานต่อไป ตามรายงานกระบวนพิจารณาวันที่ 18 กรกฎาคม 2545 อันหมายความว่า ศาลพึงต้องชี้ขาดพิพากษาคดีไปตามประเด็นแห่งคดีในคำฟ้องและคำขอบังคับ เมื่อโจทก์ประสงค์ที่จะแบ่งกรรมสิทธิ์รวม แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ประสงค์ที่จะแบ่งในเวลานี้โดยไม่ปรากฏเหตุโต้แย้งเพราะจำเลยทั้งสี่สละประเด็นตามคำให้การแล้ว ดังนี้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีโจทก์เป็นกรณีไม่ต้องห้ามที่จะเรียกให้แบ่งแยกดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1363 วรรคสาม จึงชอบแล้ว และถือได้ว่าโจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยสุจริต
แม้คำฟ้องโจทก์จะมิได้มีคำขอบังคับตามนัยมาตรา 1364 แต่การที่โจทก์ยื่นฟ้องมาโดยประสงค์ให้ศาลพิพากษาแบ่งที่ดินพิพาทที่โจทก์และจำเลยทั้งสี่ถือกรรมสิทธิ์รวมกันอันมิได้แบ่งแยกส่วนเฉพาะเจาะจงเป็นประการสำคัญ ศาลย่อมมีอำนาจแบ่งให้ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 1364 วรรคสอง ได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ยินยอมให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำที่ดินดังกล่าวจัดสัดส่วนออกเป็น 5 ท่อน แล้วให้โจทก์จับสลากว่าจะได้ท่อนไหน แล้วให้แบ่งแยกโฉนดออกเป็นโฉนดใหม่ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของต่อไป ถ้าจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่ ให้จำเลยทั้งสี่และโจทก์เว้นให้มีทางภาระจำยอมในที่ดินแปลงส่วนที่เหลือจากการจับสลากของโจทก์ และที่ดินส่วนที่โจทก์จับสลากได้ให้มีทางภาระจำยอม 2 เส้นทาง กว้างเส้นทางละ 6 เมตร โดยให้มีลักษณะใกล้เคียงกับที่ดินแปลงข้างเคียงที่จัดสรรแล้ว ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ดำเนินการจดทะเบียนเป็นทางภาระจำยอมดังกล่าวให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่
จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาก่อนสืบพยาน โจทก์กับจำเลยทั้งสี่รับข้อเท็จจริงกันว่าโจทก์กับจำเลยทั้งสี่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 1517 ตามฟ้องจริงโจทก์ประสงค์ที่จะแบ่งกรรมสิทธิ์รวม แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ประสงค์ที่จะแบ่ง คู่ความจึงขอให้ศาลพิพากษาชี้ขาดคดี โดยจำเลยทั้งสี่ขอสละประเด็นในคำให้การทั้งหมดและคู่ความไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 1517 เลขที่ดิน 20 ตำบลลำปทิว อำเภอลาดกระบัง (แสนแสบ) จังหวัดกรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์เนื้อที่ตามส่วนที่ระบุไว้ในโฉนดที่ดิน โดยให้ตกลงแบ่งกันระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสี่ก่อน หากตกลงกันไม่ได้ให้ประมูลกันระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสี่ ให้ฝ่ายที่เสนอราคาสูงเป็นผู้ได้กรรมสิทธิ์ไปทั้งหมด หากตกลงประมูลราคากันไม่ได้ ให้ขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าว แล้วนำเงินมาแบ่งกันระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสี่ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม นางสาวสมัญญาทายาทของจำเลยที่ 2 ขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้แบ่งที่ดินพิพาทนั้น ชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1358 ที่จำเลยทั้งสี่ยกมาเป็นข้อโต้เถียงในฎีกานั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิในการจัดการทรัพย์ร่วมกัน ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าววางหลักเกณฑ์ให้ตกลงกันโดยคะแนนเสียงข้างมากแห่งเจ้าของรวม และรวมทั้งการจัดการในทางเปลี่ยนแปลงวัตถุที่ประสงค์ที่จะต้องถือว่าตกลงกันได้ก็แต่เมื่อเจ้าของรวมเห็นชอบทุกคนเท่านั้น อย่างไรก็ดีที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่ดินพิพาทแปลงมรดกดังกล่าวมีสภาพใช้ทำนามาก่อนแต่ได้ทิ้งร้างไปหลายปีแล้ว ด้านทิศเหนือและด้านทิศใต้เป็นหมู่บ้านจัดสรร เจ้าของหมู่บ้านทั้งสองด้านดังกล่าวได้ตัดถนนเอกชนจากถนนคุ้มเกล้าเข้าที่ดินของตน ส่วนที่ดินพิพาทยังไม่มีถนนสาธารณะหรือถนนเข้าที่ดิน ที่ดินพิพาทดังกล่าวจึงไม่เหมาะสมจะใช้ทำนาอีกต่อไป ควรต้องแบ่งแยกเป็นแปลงย่อยเพื่อใช้ปลูกบ้านหรือแบ่งขายจัดสรรนั้นเป็นเพียงการกล่าวถึงสภาพเดิมของที่ดินพิพาท ซึ่งสามารถใช้ทำนาปลูกข้าวได้แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงเป็นที่ดินตาบอดออกสู่ถนนทางสาธารณะไม่ได้เพราะสภาพแวดล้อมของแปลงที่ดินข้างเคียงที่เปลี่ยนไปโดยโจทก์มุ่งหมายอธิบายการแบ่งทรัพย์ที่ดินพิพาทดังคำขอบังคับท้ายฟ้องให้เป็นไปโดยสอดคล้องกับการใช้สอยที่ดินของที่ดินข้างเคียง ดังเห็นได้จากข้อความที่ว่าริมเขตที่ดินด้านทิศตะวันตกต้องเว้นเป็นถนนกว้างประมาณ 8 เมตร ไม่มีวลีใดหรือข้อความในวรรคตอนใดในคำฟ้องมีนัยบ่งบอกว่าโจทก์และจำเลยทั้งสี่เคยตกลงกันแจ้งชัดหรือโดยปริยายตั้งวัตถุประสงค์การใช้สอยที่ดินพิพาทไว้โดยเฉพาะเจาะจงเพื่อการทำนาหรือให้เช่าทำนาอย่างใดเลยและแม้แต่ตามคำให้การต่อสู้คดีของจำเลยทั้งสี่เองที่ต่างสละประเด็นไปแล้ว ก็มิได้โต้เถียงไว้ในประการดังกล่าว เพียงแต่เกี่ยงเลี่ยงว่าการแบ่งแยกตามที่โจทก์ฟ้องขอบังคับเหล่านั้นรังแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของรวมทุกคนและด้อยประโยชน์ที่เหมาะสม ดังนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาโดยมีข้อวินิจฉัยไม่นำหลักเกณฑ์คะแนนเสียงข้างมากของเจ้าของรวมตลอดจนสิทธิตามสัดส่วนของเจ้าของรวมคนอื่นมาใช้บังคับจึงถูกต้องชอบแล้ว
คดีนี้เป็นเรื่องโจทก์ในฐานะเจ้าของรวมฟ้องขอแบ่งทรัพย์สินจากเจ้าของรวมคนอื่น จึงต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1363 และมาตรา 1364 มาใช้บังคับแก่กรณี ที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาโต้แย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตาบอดไม่เป็นโอกาสอันควรที่จะทำการแบ่งแยกในขณะนี้ เพราะจะทำให้ที่ดินเฉพาะส่วนเจ้าของรวมคนอื่นมีราคาต่ำไปด้วย และโดยสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำปัจจุบันอาจถูกผู้ซื้อกดราคาจนต่ำมากทำให้จำเลยทั้งสี่เสียหายอย่างร้ายแรง จึงอยู่ในบังคับตามมาตรา 1363 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า “ท่านว่าเจ้าของรวมจะเรียกให้แบ่งทรัพย์สินในเวลาที่ไม่เป็นโอกาสอันควรไม่ได้” นั้น จำเลยทั้งสี่ได้แถลงสละประเด็นตามคำให้การและไม่ติดใจสืบพยานต่อไป ดังปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาวันที่ 18 กรกฎาคม 2545 อันหมายความว่าศาลพึงต้องชี้ขาดพิพากษาคดีไปตามประเด็นแห่งคดีในคำฟ้องและคำขอบังคับเมื่อโจทก์ประสงค์ที่จะแบ่งกรรมสิทธิ์รวม แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ประสงค์ที่จะแบ่งในเวลานี้โดยไม่ปรากฏเหตุโต้แย้งเนื่องเพราะจำเลยทั้งสี่สละประเด็นตามคำให้การแล้ว ดังนี้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาโดยวินิจฉัยว่า คดีโจทก์เป็นกรณีไม่ต้องห้ามที่จะเรียกให้แบ่งแยกดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1363 วรรคสาม จึงชอบแล้ว และถือได้ว่าโจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยสุจริตด้วย อีกทั้งถึงแม้คำฟ้องโจทก์จะมิได้มีคำขอบังคับตามนัย มาตรา 1364 แต่การที่โจทก์ยื่นฟ้องมาโดยประสงค์ให้ศาลพิพากษาแบ่งที่ดินพิพาทที่โจทก์และจำเลยทั้งสี่ถือกรรมสิทธิ์รวมกันอันมิได้แบ่งแยกส่วนเฉพาะเจาะจงเป็นประการสำคัญ ศาลย่อมมีอำนาจแบ่งให้ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 1364 วรรคสองได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ ซึ่งถือว่าถูกต้องเป็นธรรมตามกฎหมายแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้แบ่งที่ดินนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share