คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1065/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์นำเช็คพิพาทซึ่งจำเลยสั่งจ่ายไปฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทางอาญาแล้วมาฟ้องเรียกเงินทางแพ่งจากจำเลยอีกนั้น หาเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่
จำเลยซื้อเชื่อสินค้าไปจากโจทก์และได้ลงนามรับสินค้าไว้ในใบสั่งของทุกครั้ง เมื่อคิดบัญชีกันปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่จำนวนหนึ่ง จำเลยจึงออกเช็คตามจำนวนนั้นชำระหนี้ให้โจทก์ดังนี้เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค โจทก์ย่อมฟ้องบังคับจำเลยได้สองทาง คือฟ้องเรียกเงินตามเช็คก็ได้หรือจะฟ้องเรียกเงินค่าซื้อสินค้าตามใบสั่งของก็ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ออกเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขานครปฐมสั่งจ่ายเงิน 14,445 บาท ให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ ต่อมาโจทก์ได้นำไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็ค ธนาคารปฏิเสธการจ่ายทั้งนี้จำเลยออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คหรือออกเช็คโดยขณะที่ออกไม่มีเงินในบัญชีอันจะพึงใช้เงินได้ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 249 มาตรา 3 ให้จำเลยใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยรวม 14,625 บาท 50 สตางค์ พร้อมดอกเบี้ย

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้องคดีอาญา และรับฟ้องคดีแพ่ง

จำเลยให้การมีใจความว่า เช็คที่ออกให้โจทก์เป็นการออกค้ำประกันค่าซื้อน้ำมันไม่มีเจตนาจะให้นำไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร เพราะขณะออกเช็คโจทก์ทราบดีว่าจำเลยไม่มีเงินในธนาคาร

ศาลชั้นต้นรับคำให้การเฉพาะคดีอาญา ส่วนคดีแพ่งจำเลยมิได้ยื่นคำให้การภายในกำหนด 8 วัน จึงไม่รับคำให้การ ถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 14,445 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัด (3 เมษายน 2516) จนกว่าชำระเสร็จให้โจทก์ ส่วนข้อหาทางอาญาให้ยกฟ้อง เพราะโจทก์รู้อยู่ว่าจำเลยไม่มีเงินในบัญชีขณะจำเลยออกเช็คให้โจทก์

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลย ส่วนจำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องคดีแพ่งด้วย เพราะเช็คพิพาทเป็นเช็คค้ำประกัน

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ก่อนที่จำเลยจะได้ออกเช็คพิพาทมอบให้โจทก์นั้นน่าเชื่อว่าก่อนหน้านี้จำเลยได้เคยออกเช็คหมาย ล.1 ชำระหนี้ให้โจทก์ไว้ครั้งหนึ่งแล้ว ครั้นโจทก์นำไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินตามเช็คก็เก็บไม่ได้ โจทก์จึงได้มาติดต่อขอให้จำเลยออกเช็คให้ใหม่คราวนี้ได้นำเอาจำนวนเงินที่ยังค้างชำระค่าสินค้ารวมเข้ากับจำนวนเงินในเช็คฉบับเดิมด้วย ฉะนั้น การออกเช็คพิพาทของจำเลยให้แก่โจทก์จึงเป็นการออกเพื่อชำระหนี้ในการซื้อสินค้า เชื่อถือได้ว่ามีมูลหนี้ต่อกัน โจทก์มีสิทธิที่จะได้รับเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้จากจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทให้โจทก์ จำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายจึงต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คพิพาทให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 914 ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์กลั่นแกล้งจำเลยโดยนำเช็คพิพาทไปฟ้องทางอาญาแล้วเรียกเงินทางแพ่งจากจำเลยอีก เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นสิทธิของโจทก์โดยชอบที่จะฟ้องเรียกเงินรายนี้จากจำเลยผู้สั่งจ่าย และที่จำเลยฎีกาอีกว่าโจทก์มีเอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.12 ซึ่งเป็นใบสั่งของ กลับไม่ใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องคดีแพ่ง กลับนำเช็คพิพาทหมาย จ.1 มาฟ้องเรียกเงินทางแพ่งนั้นไม่ถูกต้อง เพราะมิใช่หลักฐานตามกฎหมายนั้นข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่าตามรูปเรื่องคดีนี้โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยได้ 2 ทาง คือจะฟ้องเรียกเงินรายนี้ตามเช็คพิพาทที่จำเลยทำไว้ให้โจทก์ก็ได้ หรือจะฟ้องเรียกเงินค่าซื้อสินค้าตามเอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.12 นั้นก็ได้ แล้วแต่จะเลือก เพราะเอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.12 นั้น เป็นที่มาของการออกเช็คพิพาทเท่านั้น

พิพากษายืน

Share