คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1062/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทได้กำหนดไว้ชัดเจนว่าผู้ออกตั๋วสัญญาจะใช้เงินแก่โจทก์เมื่อทวงถามดังนั้นวันถึงกำหนดใช้เงินของตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทหมายถึงวันที่โจทก์ทวงถามให้ใช้เงินตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา913(3)หาใช่ถึงกำหนดใช้เงินในวันออกตั๋วไม่ทั้งกรณีนี้ได้มีการทวงถามให้ผู้ออกตั๋วและจำเลยซึ่งเป็นผู้รับอาวัลชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทแล้วอายุความจึงไม่อาจเริ่มนับจากวันที่ออกตั๋ว ในหนังสือบอกกล่าวทวงถามของโจทก์ได้ให้เวลาจำเลยชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้เสร็จสิ้นภายใน7วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าวอันเป็นระยะเวลาพอสมควรซึ่งหมายความว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จะเรียกให้จำเลยชำระหนี้ก่อนถึงกำหนดเวลานั้นหาได้ไม่แต่จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นได้หากพ้นกำหนดดังกล่าวแล้วไม่ชำระก็ถือว่าจำเลยผิดนัดโจทก์อาจบังคับให้จำเลยชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทในฐานะผู้รับอาวัลได้นับแต่วันครบกำหนดตามหนังสือทวงถามแล้วเป็นต้นไปวันครบกำหนด7วันตามหนังสือทวงถามคือวันที่19กันยายน2533อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1001จึงเริ่มนับแต่วันที่20กันยายน2533เป็นต้นไปหาใช่เริ่มนับแต่วันที่จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามไม่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่14กันยายน2536ยังไม่ครบกำหนด3ปีคดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า บริษัทเงินทุนพานิช จำกัด ได้ยืมเงินไปจากโจทก์ 34 ครั้ง รวมเป็นเงิน 571,000,000 บาท โดยบริษัทเงินทุนพานิช จำกัด ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์ทุกครั้งเพื่อเป็นการชำระหนี้ภายหลังได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินแล้วบริษัทเงินทุนพานิช จำกัด ได้ผ่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้โจทก์บางส่วน เมื่อคิดยอดหนี้ค้างชำระถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2529บริษัทเงินทุนพานิช จำกัด เป็นหนี้โจทก์ เงินต้นจำนวน547,021,000 บาท และดอกเบี้ย 252,787,290.36 และในวันที่19 ธันวาคม 2529 บริษัทเงินทุนพานิช จำกัด ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์จำนวน 3 ฉบับ เพื่อชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่ค้างชำระแก่โจทก์ตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสามฉบับ กำหนดเวลาใช้เงินเมื่อทวงถามโดยมีจำเลยทั้งสี่ลงชื่อเป็นอาวัลไว้ที่ด้านหน้าตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสามฉบับดังกล่าว ต่อมาบริษัทเงินทุนพานิชจำกัด ไม่ใช้เงินตามสัญญาใช้เงินเมื่อโจทก์ได้ทวงถาม รวมยอดหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่ค้างชำระจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน1,286,593,749.94 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ชำระเงินจำนวน 1,286,593,749.94 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 168,021,000 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน379,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า จำเลยทั้งสี่เป็นผู้รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องของโจทก์จริง แต่ตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวโจทก์นำมาฟ้องเมื่อขาดอายุความแล้ว โดยตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวถึงกำหนดใช้เงินเมื่อทวงถามโจทก์ทวงถามบริษัทเงินทุนพานิช จำกัดเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2533 แต่โจทก์มาฟ้องเมื่อวันที่14 กันยายน 2536 จึงขาดอายุความ นอกจากนั้นตั๋วสัญญาใช้เงินออกให้เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2529 โจทก์ควรทวงถามภายใน 3 ปีนับแต่วันที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงินการที่โจทก์มาทวงถามเมื่อวันที่12 กันยายน 2533 ถือได้ว่า โจทก์สละสิทธิเรียกร้องหรือสิทธิเรียกร้องตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวสิ้นสุดลงวันที่ 20 ธันวาคม2532 แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน1,286,593,749.94 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12.5 ต่อปีของต้นเงิน 168,021,000 บาท และอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปีของต้นเงิน 279,000,000 บาท นับจากวันที่ 15 กันยายน 2536ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลย ทั้ง สี่ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ทั้ง สี่ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์เป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 3 ฉบับ มีบริษัทเงินทุนพานิชจำกัด เป็นผู้ออกตั๋วและจำเลยทั้งสี่เป็นผู้รับอาวัล ลงวันที่ออกตั๋ววันที่ 19 ธันวาคม 2529 ถึงกำหนดใช้เงินเมื่อทวงถามปรากฏตามเอกสารหมาย จ.40 จ.41 และ จ.42 โจทก์มีหนังสือลงวันที่ 7 กันยายน 2533 ไปยังบริษัทเงินทุนพานิช จำกัดและจำเลยทั้งสี่โดยกำหนดให้ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้เสร็จสิ้นภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าวบริษัทเงินทุนพานิช จำกัด และจำเลยทั้งสี่ได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2533 แต่ไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2536
พิเคราะห์แล้วมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่าอายุความตามตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาททั้งสามฉบับต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ออกตั๋วคือวันที่ 19 ธันวาคม 2529 หรือมิฉะนั้นก็ต้องนับแต่วันที่โจทก์ทวงถามมายังจำเลยทั้งสี่คือวันที่ 12 กันยายน 2533 โจทก์มาฟ้องเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2536 เกิน 3 ปี คดีจึงขาดอายุความเห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 169 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น บัญญัติว่า “อันอายุความนั้นท่านให้นับเริ่มแต่ขณะที่จะอาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป”ตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาททั้งสามฉบับได้กำหนดไว้ชัดเจนว่า ผู้ออกตั๋วสัญญาจะใช้เงินแก่โจทก์เมื่อทวงถาม ดังนั้น วันถึงกำหนดใช้เงินของตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทหมายถึงวันที่โจทก์ทวงถามให้ใช้เงินตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 913(3) หาใช่ถึงกำหนดใช้เงินในวันออกตั๋วคือวันที่ 19 ธันวาคม 2529 ไม่ ทั้งกรณีนี้ได้มีการทวงถามให้ผู้ออกตั๋วและจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้รับอาวัลชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทแล้ว อายุความจึงไม่อาจเริ่มนับจากวันที่ออกตั๋ว ส่วนอายุความจะเริ่มนับแต่วันที่จำเลยทั้งสี่ได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์หรือไม่นั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ในหนังสือบอกกล่าวทวงถามของโจทก์ได้ให้เวลาจำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้เสร็จสิ้นภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าวอันเป็นระยะเวลาพอสมควร ซึ่งหมายความว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จะเรียกให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ก่อนถึงกำหนดเวลานั้นหาได้ไม่ แต่จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นได้ หากพ้นกำหนดดังกล่าวแล้วไม่ชำระก็ถือว่าจำเลยทั้งสี่ผิดนัดโจทก์อาจบังคับให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทในฐานะผู้รับอาวัลได้นับแต่วันเวลากำหนดตามหนังสือทวงถามแล้วเป็นต้นไป วันครบกำหนด7 วันตามหนังสือทวงถามคือวันที่ 19 กันยายน 2533 อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1001 จึงเริ่มนับแต่วันที่20 กันยายน 2533 เป็นต้นไปหาใช่เริ่มนับแต่วันที่จำเลยทั้งสี่ได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามไม่ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่14 กันยายน 2536 ยังไม่ครบกำหนด 3 ปี คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน

Share