คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1060/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์นำสืบโดยส่งต้นฉบับสัญญาเช่าซื้อเป็นพยาน จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกจากโจทก์จริง ส่วนจำเลยร่วมถูกเรียกเข้ามาในคดีโดยมิได้ต่อสู้ว่าเอกสารสัญญาเช่าซื้อปลอม ไม่สมบูรณ์แต่ประการใด จำเลยร่วมจะอ้างคำเบิกความของ พ. กรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 หรือพยานบุคคลอื่นมาหักล้างเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาเช่าซื้อซึ่งระบุว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าซื้อมิได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)
เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุก จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธินำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปใช้ประโยชน์และมีสิทธิที่จะได้กรรมสิทธิ์เมื่อชำระค่าเช่าซื้อครบตลอดจนต้องรับผิดชำระค่าเช่าซื้อ ความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแก่รถยนต์ที่เช่าซื้อ จำเลยที่ 1จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในวัตถุที่เอาประกันภัย ถึงแม้จะให้ผู้อื่นนำรถยนต์ไปใช้หรือชำระค่าเช่าซื้อเบี้ยประกันแทนก็หาทำให้เสียสิทธิหรือหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาไม่จำเลยร่วมจึงต้องผูกพันตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ทำไว้กับจำเลยที่ 1 และต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเท่ากับค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระเป็นเงิน353,380.56 บาท กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าขาดประโยชน์ 459,420 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว และให้ชำระค่าขาดประโยชน์เดือนละ 23,560 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเบี้ยปรับ ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มค่าเบี้ยประกันภัยเป็นเงิน 122,778.48 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงินค่าภาษีมูลค่าเพิ่มและค่าเบี้ยประกันภัยจำนวน 23,342.56 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยทั้งสองให้การว่าโจทก์ชอบที่จะเรียกร้องให้บริษัทประกันภัยรับผิดฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยทั้งสองขอให้เรียกบริษัทวิริยะประกันภัย จำกัด ซึ่งรับประกันภัยรถยนต์ที่เช่าซื้อไว้เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต

จำเลยร่วมให้การว่า สัญญาประกันภัยเป็นโมฆะเพราะจำเลยที่ 1 ไม่มีส่วนได้เสียในรถยนต์บรรทุกที่เช่าซื้อ จำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน 40,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2538 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยร่วมชำระราคารถยนต์ 330,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2538 จนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และจำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยให้จำเลยร่วมรับผิด 2,750 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยร่วมอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยร่วมฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1ลงนามเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุก ยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน 80-8063 ฉะเชิงเทราจากโจทก์ราคา 565,420.56 บาท จะต้องชำระเงินค่าเช่าซื้องวดสุดท้ายวันที่ 21มกราคม 2538 รายละเอียดตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.8 มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.9 หลังจากทำสัญญาเช่าซื้อแล้วจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์ที่เช่าซื้อไว้กับจำเลยร่วม มีโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.14 หรือ ล.4 ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายและส่งรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา ตามหนังสือบอกเลิกสัญญาลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2538เอกสารหมาย จ.10 แต่จำเลยที่ 1 ไม่อาจคืนรถยนต์ให้แก่โจทก์ได้ เพราะรถยนต์ดังกล่าวถูกคนร้ายลักไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2537 จึงยังอยู่ในระหว่างระยะเวลาคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยร่วมว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์บรรทุกของโจทก์ที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลยร่วมหรือไม่ จำเลยร่วมฎีกาเป็นใจความว่าความจริงผู้อื่นเป็นผู้เช่าซื้อ จำเลยที่ 1 ลงชื่อในสัญญาแต่เพียงในนามเท่านั้น เห็นว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อที่ต้องทำเป็นหนังสือ มิฉะนั้นตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 572 ดังนั้น คู่ความจะขอสืบพยานบุคคลแทนเอกสารหรือนำสืบพยานบุคคลแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารสัญญาเช่าซื้อมิได้ เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคสอง กล่าวคือต้นฉบับสัญญาเช่าซื้อสูญหายหรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย พยานเอกสารนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วนหรือสัญญาหรือหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารไม่สมบูรณ์ หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิดคดีนี้โจทก์ได้นำสืบส่งต้นฉบับสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.8 เป็นพยาน จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับว่า จำเลยที่ 1ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกจากโจทก์จริง ส่วนจำเลยร่วมถูกเรียกเข้ามาในคดีโดยให้การในข้อ 1 แต่เพียงว่าจำเลย (คงหมายถึงจำเลยที่ 1) ไม่อาจเรียกให้จำเลยร่วมรับผิดเพื่อการใช้สิทธิในการไล่เบี้ยได้ จำเลยร่วมไม่มีส่วนได้เสีย นิติสัมพันธ์และผลประโยชน์ร่วมในมูลคดีเดิม ผลของคดีกับจำเลยจึงไม่เกี่ยวกันกับจำเลยร่วม ส่วนข้อ 4ให้การแต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีส่วนได้เสียในรถยนต์บรรทุกเป็นแต่เพียงลงนามแทนผู้อื่นเท่านั้น มิได้ต่อสู้ว่าเอกสารสัญญาเช่าซื้อปลอมไม่สมบูรณ์ฯ แต่ประการใด จำเลยร่วมจะอ้างคำเบิกความของนางพงษ์ลดา เจียมบุรเศรษฐ์ กรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1หรือพยานบุคคลอื่นมาหักล้างเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาเช่าซื้อซึ่งระบุว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าซื้อมิได้ ต้องห้ามตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวมาข้างต้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุก จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธินำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปใช้ประโยชน์และมีสิทธิที่จะได้กรรมสิทธิ์เมื่อจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อครบ ตลอดจนต้องรับผิดชำระค่าเช่าซื้อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแก่รถยนต์ที่เช่าซื้อ จำเลยที่ 1จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในวัตถุที่เอาประกันภัยถึงแม้จะให้ผู้อื่นนำรถยนต์ไปใช้ หรือชำระค่าเช่าซื้อเบี้ยประกันแทนก็หาทำให้เสียสิทธิหรือหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาไม่ จำเลยร่วมจึงต้องผูกพันตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ทำไว้กับจำเลยที่ 1 และต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย ที่จำเลยร่วมฎีกาว่าจำเลยร่วมไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์และจำเลยที่ 1 จึงฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share