คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 106/2504

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กฎหมายมิได้ห้ามคิดเอาดอกเบี้ยจากต้นเงินกู้เกิน 5 ปี เป็นแต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 บัญญัติเกี่ยวกับสิทธิฟ้องเรียกดอกเบี้ยที่ค้างส่งหรือค้างชำระว่า ให้มีกำหนดอายุความ 5 ปีเท่านั้น
จำเลยมิได้ยกเรื่องอายุความขึ้นเป็นประเด็นต่อสู้ไว้ จะมายกข้อนี้ขึ้นในชั้นฎีกาหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้กับดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ได้ทำสัญญากู้เงินตามฟ้องจริง แต่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์ครบถ้วนตามสัญญาเสร็จสิ้นแล้ว
จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน แต่จำเลยขาดนัด ศาลจึงสั่งงดสืบพยานจำเลย โจทก์ไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ต้นเงินกู้ ๒๕,๐๐๐ บาท ส่วนดอกเบี้ยให้ชำระสำหรับที่ค้างอยู่เพียง ๔ เดือน กับติดตั้งแต่วันฟ้องไปอีกจนกว่าจะชำระเงินเสร็จในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี โดยเห็นว่าโจทก์ควรเรียกดอกเบี้ยที่จะชำระเงินเสร็จในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี โดยเห็นว่าโจทก์ควรเรียกดอกเบี้ยที่ค้างได้เพียง ๕ ปีเท่านั้น จำเลยชำระให้มาแล้ว ๔ ปี ๘ เดือน จึงคงเรียกร้องได้อีก ๔ เดือนเท่าที่ยังขาดอยู่เท่านั้น
โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยที่ค้างทั้ง ๓ ปี กับ ๗ เดือน
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามประมวลกฎหมรยแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๖ ห้ามมิให้เรียกร้องเอาดอกเบี้ยที่ค้างเกิน ๕ ปี ก็เพราะเจ้าหนี้ปล่อยให้ดอกเบี้ยค้างชำระล่วงเลยมาเกิน ๕ ปีแล้ว แต่หนี้รายนี้ดอกเบี้ยติดค้างอยู่เพียง ๓ ปี กับ ๗ เดือนเท่านั้น โจทก์จึงมีสิทธิขอให้จำเลยชำระเท่าที่ติดค้างอยู่นั้นได้ พิพากษาแก้ศาลชั้นต้นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยที่ติดค้างอยู่ ๓ ปี ๗ เดือน เป็นเงิน ๑๓,๔๓๗ บาท ๕๐ สตางค์ แก่โจทก์ นอกจากนี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามกฎหมายมิได้ห้ามคิดเอาดอกเบี้ยจากต้นเงินกู้เกิน ๕ ปี เป็นแต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๖ บัญญัติเกี่ยวกับสิทธิฟ้องเรียกดอกเบี้ยที่ค้างส่งหรือค้างขำระว่า ให้มีกำหนดอายุความ ๕ ปีเท่านั้น แต่ถ้าดอกเบี้ยที่ฟ้องเรียกกันได้ ในคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยที่ค้างชำระมาเพียง ๓ ปีกับ ๗ เดือนเท่านั้น จึงยังไม่ขาดอายุความฟ้องร้อง ทั้งจำเลยก็มิได้ยกเรื่องอายุความขึ้นเป็นประเด็นต่อสู้ไว้แต่อย่างใด จึงชอบแล้วที่ศาลอุทธรณ์บังคับให้จำเลยชำระดอกเบี้ยที่ค้างส่งอยู่เต็มตามฟ้องของโจทก์
พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share