คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1057/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันประกอบธุรกิจจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตโจทก์ต้องนำพยานหลักฐานมาสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยทั้งสองกระทำการอันเป็นการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการจัดหางาน เช่น หนังสือติดต่อกับผู้ว่าจ้างในต่างประเทศหรือตัวแทน หรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อส่งคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานดังกล่าวมาสืบก็ฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30, 82 และนับโทษจำเลยที่ 2ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 8049/2530 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30, 82 จำคุกคนละ 3 ปี คำขอให้นับโทษต่อให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันประกอบธุรกิจจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่โจทก์ไม่ได้นำพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการจัดหางานให้คนหางานไปทำงานในต่างประเทศ เช่นหนังสือติดต่อกับผู้ว่าจ้างในต่างประเทศหรือตัวแทน หรือเอกสารอื่นใดที่ชี้ ให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนากระทำเช่นนั้น ทั้งไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อจะส่งนางประเมินกับนางจันทร์ดีไปทำงานในต่างประเทศ พยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองประกอบธุรกิจจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดดังที่โจทก์ฟ้อง
พิพากษายืน.

Share