คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้ระบุระยะเวลาที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศ และสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับโจทก์ ก็มิได้ระบุเวลาที่จำเลยที่ 1ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อเช่นกัน ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 1ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อต่างประเทศเป็นเวลา 2 ปี ครบแล้วโจทก์ได้อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ศึกษาต่ออีกเป็นเวลา 4 ปีเศษ โดยมิได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบ และจำเลยที่ 2 มิได้ยินยอมแม้จะเป็นภาระหนักขึ้นแก่จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกัน แต่ก็ไม่เป็นการฝ่าฝืนข้อตกลงในสัญญาและเป็นคนละเรื่องกับการที่เจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้ลูกหนี้ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิด จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจะต้องคืนเงินเดือนเงินเพิ่มช่วยค่าครองชีพและต้องเสียเบี้ยปรับอีกเท่ากับเงินทั้งหมดที่รับไปกับจะต้องเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี สำหรับเงินต้นรวมกับเบี้ยปรับตามสัญญาด้วยนั้น เบี้ยปรับและดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นข้อสัญญาที่ระบุความเสียหายหรือความรับผิดในการที่จำเลยไม่ชำระหนี้ไว้ล่วงหน้า เมื่อศาลเห็นว่าเบี้ยปรับสูงเกินส่วนก็มีอำนาจลดลงได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 จำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้ค้ำประกัน ยอมตนเข้าผูกพันค้ำประกันจำเลยที่ 1 เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาของจำเลยที่ 1 และประโยชน์แก่โจทก์โดยส่วนรวมแต่ฝ่ายเดียวมีเหตุผลควรได้รับความเห็นใจ พิเคราะห์ถึงทางได้เสียทุกอย่างของโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่เพียงทางได้เสียในเชิงทรัพย์สิน สมควรลดเบี้ยปรับให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง เมื่อกำหนดเบี้ยปรับเป็นค่าเสียหายจำนวนพอสมควรแล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้ค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยอีก เงินเดือนเงินเพิ่มช่วยค่าครองชีพและเบี้ยปรับเป็นหนี้เงินโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 224 แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ฎีกา ก็เป็นหนี้ร่วมกันจะแบ่งแยกกันมิได้ จำเลยที่ 1 ย่อมได้รับผลเป็นคุณด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 รับราชการ ตำแหน่งอาจารย์โทคณะวิทยาศาสตร์ สังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โจทก์ได้มีคำสั่งอนุมัติให้จำเลยที่ 1 ไปศึกษาชั้นปริญญาเอกทางวิชาเคมี ณประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยทุนส่วนตัว โดยได้รับเงินเดือนเต็มมีกำหนดระยะเวลา 2 ปี ก่อน โดยมีเงื่อนไขว่า ให้สอบผ่านภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว และต่อมาโจทก์ได้มีคำสั่งอนุมัติให้จำเลยที่ 1 ลาราชการต่อเพื่ออยู่ศึกษา ณ ต่างประเทศต่อไปอีกรวม 3 ครั้ง จำเลยที่ 1 ได้ตกลงยินยอมทำสัญญากับโจทก์ว่า เมื่อจำเลยที่ 1 เสร็จการศึกษาแล้วไม่ว่าการศึกษาจะสำเร็จหรือไม่จำเลยที่ 1 สัญญาว่าจะรับราชการต่อไปในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยหรือในกระทรวงทบวงกรมอื่นตามที่ทางราชการเห็นสมควรเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองเท่าของเวลาที่ได้รับเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มหากจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาหรือไม่กลับมารับราชการด้วยเหตุใด ๆ ก็ดีจำเลยที่ 1 จะชดใช้คืนเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มและเงินอื่นใดทั้งสิ้นที่ได้รับจากทางราชการในระหว่างที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษา และจำเลยที่ 1 จะต้องจ่ายเงินเป็นเบี้ยปรับให้แก่โจทก์อีกจำนวนหนึ่งเท่ากับเงินที่ต้องชดใช้คืน และในกรณีที่จำเลยที่ 1รับราชการบ้างแต่ไม่ครบเวลาตามสัญญา เงินที่จะชดใช้คืนและเบี้ยปรับจะลงลงตามส่วนของเวลาที่รับราชการ หากจำเลยที่ 1ไม่ชำระภายในกำหนดหรือชำระให้แต่ไม่ครบ ยอมให้คิดดอกเบี้ยจากเงินที่ยังมิได้ชำระอีกในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีด้วย มีจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ไปศึกษาเป็นเวลา 6 ปี 1 เดือน 6 วันแต่ปรากฏว่าหลังจากที่จำเลยที่ 1 เสร็จการศึกษาและโจทก์ได้มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 กลับเข้ารับราชการในตำแหน่งหน้าที่และอัตราเงินเดือนเดิม และจำเลยที่ 1 เข้ารับราชการตามคำสั่ง รวมเป็นเวลา 1 ปี5 เดือน 25 วัน แล้วจำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนเป็นเหตุให้ถูกไล่ออกจากราชการ ดังนั้นจำเลยที่ 1 จึงรับราชการไม่ครบเวลาตามสัญญา คงขาดไปเป็นจำนวนรวม 10 ปี 8 เดือน 17 วันจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชดใช้เงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มช่วยค่าครองชีพและเบี้ยปรับจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดรวมกับจำเลยที่ 1 ตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 426,034.81 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15ต่อปีจากต้นเงิน 323,727.92 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า สัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องเป็นสัญญาปลอมจำเลยที่ 2 ไม่เคยให้สัญญากับโจทก์ที่จะให้คำยินยอมรับผิดชอบในกรณีโจทก์ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 การที่โจทก์ออกคำสั่งต่อระยะเวลาในการศึกษาต่อของจำเลยที่ 1 ในต่างประเทศออกไปอีกหลายครั้งนั้นจำเลยที่ 2 มิได้ยินยอมผูกพันต่อการผ่อนเวลาชำระหนี้จำเลยที่ 2 จึงหลุดพ้นความรับผิดในการค้ำประกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 323,727.92 บาท แก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทนเฉพาะ 2 ปีสำหรับการลาไปศึกษาของจำเลยที่ 1 ครั้งที่ 1 มีกำหนด 2 ปีโดยคำนวณจากการผิดสัญญา 2 ปีแรก กับค่าปรับอีก 1 เท่าตัวเป็น4 ปี และนำเอาระยะเวลาที่จำเลยที่ 1 ได้กลับมารับราชการ 1 ปี 5เดือน 25 วัน หักออกคงเหลือระยะเวลาที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นเวลา 2 ปี 6 เดือน 5 วัน โดยให้โจทก์และจำเลยที่ 2 คำนวณจำนวนเงินที่จำเลยที่ 2 จะต้องชำระให้โจทก์ร่วมกัน แล้วให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินต่อโจทก์ตามจำนวนนั้น ส่วนที่โจทก์ขอเรียกดอกเบี้ยมาด้วยนั้นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า นอกจากเงินต้น 323,727.92 บาทแล้ว ให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยอีกอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวแก่โจทก์นับแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ 2ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยจำนวนดังกล่าวแทน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สัญญาเอกสารหมาย จ.6 ที่จำเลยที่ 1ทำกับโจทก์นั้นระบุเพียงว่าจำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติจากโจทก์ให้ไปศึกษา ณ ต่างประเทศด้วยทุนประเภท 2 (ส่วนตัว) เมื่อจำเลยที่ 1 เสร็จการศึกษา จำเลยที่ 1 สัญญาว่าจะรับราชการกับโจทก์เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองเท่าของเวลาที่ได้รับทุนหรือที่ได้รับเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่ม ทั้งนี้สุดแต่เวลาใดจะมากกว่ากันหากจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่กลับมารับราชการ จำเลยที่ 1 จะชดใช้คืนแก่โจทก์ซึ่งทุนและหรือเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มที่จำเลยที่ 1 ได้รับจากทางราชการในระหว่างที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษานอกจากนี้จำเลยที่ 1 จะจ่ายเป็นเงินเบี้ยปรับให้โจทก์อีกจำนวนหนึ่งเท่ากับเงินที่จำเลยที่ 1 จะต้องชดใช้คืน ในกรณีที่จำเลยที่ 1รับราชการบ้าง แต่ไม่ครบเวลาดังกล่าว เงินที่จะชดใช้คืนและเบี้ยปรับจะลดลงตามส่วนของเวลาที่จำเลยที่ 1 รับราชการไปบ้างและสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.7 ก็ระบุเพียงว่า ตามที่จำเลยที่ 1ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษา ณ ประเทศสหรัฐอเมริกาและได้ทำสัญญาไว้ต่อโจทก์นั้น จำเลยที่ 2 ทราบและเข้าใจข้อความในสัญญาดังกล่าวแล้วจึงขอทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อโจทก์ว่า ถ้าจำเลยที่ 1ผิดสัญญาดังกล่าวด้วยประการใด ๆ ก็ดี จำเลยที่ 2 ยินยอมชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามความรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 ตามสัญญาดังกล่าวทั้งสิ้นทุกประการ ตามเอกสารหมาย จ.6 และสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.7 ดังกล่าว เห็นได้ว่า สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้ระบุระยะเวลาที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อณ ต่างประเทศ และสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับโจทก์ก็มิได้ระบุเวลาที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อเช่นกันฉะนั้น การที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศเป็นเวลา 2 ปี ครบแล้วโจทก์ได้อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ศึกษาต่ออีกเป็นเวลา 4 ปีเศษ โดยมิได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบและจำเลยที่ 2มิได้ยินยอมในการที่โจทก์อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ศึกษาต่ออีกนั้นแม้จะเป็นภาระหนักขึ้นแก่จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกัน แต่ก็ไม่เป็นการฝ่าฝืนข้อตกลงในสัญญาและเป็นคนละเรื่องกับการที่เจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้ลูกหนี้ จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิด จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในหนี้ที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาต่อโจทก์ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาขอลดค่าเสียหายและขอไม่เสียดอกเบี้ยสำหรับค่าเสียหายที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาต่อโจทก์จะต้องคืนเงินเดือนเงินเพิ่มช่วยค่าครองชีพที่ตนรับไปให้โจทก์เป็นเงิน 161,863.96 บาท และต้องเสียเบี้ยปรับอีกเท่ากับเงินทั้งหมดที่รับไปกับจะต้องเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีสำหรับเงินต้นรวมกับเบี้ยปรับตามสัญญาด้วยนั้นเบี้ยปรับและดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นข้อสัญญาที่ระบุความเสียหายหรือความรับผิดในการที่จำเลยไม่ชำระหนี้ไว้ล่วงหน้า เมื่อศาลเห็นว่าเบี้ยปรับสูงเกินส่วนศาลก็มีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 สำหรับคดีนี้ จำเลยที่ 2เป็นเพียงผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 2 ยอมตนเข้าผูกพันค้ำประกันจำเลยที่ 1 เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาของจำเลยที่ 1 และประโยชน์อันพึงมีแก่โจทก์โดยส่วนรวมแต่ฝ่ายเดียว จึงมีเหตุผลที่ควรได้รับความเห็นใจ เมื่อพิเคราะห์ถึงทางได้เสียทุกอย่างของโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมายไม่ใช่เพียงทางได้เสียในเชิงทรัพย์สิน เห็นสมควรลดเบี้ยปรับให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง คงเหลือเบี้ยปรับที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นเงิน 80,931.98 บาท เมื่อกำหนดเบี้ยปรับเป็นค่าเสียหายจำนวนพอสมควรแล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้ค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยอีก รวมเงินที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นเงิน 242,795.94 บาท เงินเดือนเงินเพิ่มช่วยค่าครองชีพและเบี้ยปรับเป็นหนี้เงิน โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ฎีกาโดยจำเลยที่ 2ผู้เดียวฎีกา ก็เป็นหนี้ร่วมกันจะแบ่งแยกกันมิได้ จำเลยที่ 1ย่อมได้รับผลเป็นคุณด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 ในฐานะลูกหนี้และจำเลยที่ 2ในฐานะผู้ค้ำประกันชำระเงินจำนวน 242,795.94 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2527 ซึ่งเป็นวันผิดนัดจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share