คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1055/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันทำไม้และมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตจำนวน 55 แผ่นและปริมาตรเพียง 0.675 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นจำนวนไม่มากนักสภาพแห่งความผิด ของจำเลยที่ 3 มีเหตุสมควรรอการลงโทษให้ได้แต่เพื่อให้ หลาบจำจึงให้ปรับจำเลยที่ 3 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น อีกสถานหนึ่ง เนื่องจากเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี จึงให้ จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 ซึ่งมิได้ฎีกา ได้รับผลแห่งการลงโทษโดยรอการลงโทษ และปรับเช่นเดียวกับ จำเลยที่ 3 ที่ฎีกาด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2534 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันทำไม้ในป่าคลองสวนหมากและป่าคลองขลุง อันเป็นป่าสงวนแห่งชาติ โดยการนำไม้กระบกแปรรูปจำนวน 45 แผ่น ปริมาตร 0.675 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ออกไปจากบริเวณป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวโดยมิได้รับอนุญาตและมิได้รับยกเว้นให้กระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายและจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันมีไม้กระบก แปรรูปจำนวนดังกล่าวไว้ในความครอบครองในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยมิได้รับอนุญาตเหตุเกิดที่ตำบลคลองลานพัฒนา อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชรขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507มาตรา 14, 31, 35 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 7, 11, 48, 73, 74, 74 จัตวา ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91
จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคแรก ลงโทษจำคุกคนละ 6 เดือน ปรับคนละ 10,000 บาท ผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 48, 73 วรรคแรก ลงโทษจำคุกคนละ 6 เดือนปรับคนละ 8,000 บาท รวมจำคุกคนละ 12 เดือน ปรับคนละ 18,000 บาท จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกคนละ 6 เดือน ปรับคนละ 9,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 ริบของกลาง และให้จำเลยทั้งสี่จ่ายค่าสินบนนำจับแก่ผู้นำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับที่ชำระต่อศาลเฉพาะข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้
โจทก์อุทธรณ์ขอไม่ให้รอการลงโทษจำเลยทั้งสี่
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษแก่จำเลยทั้งสี่ ไม่ปรับและไม่จ่ายสินบนนำจับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจำเลยที่ 3 หรือไม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ความผิดดังที่โจทก์ฟ้องนี้ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 31 วรรคแรก กำหนดให้จำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง 50,000 บาทและพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 73 วรรคแรก กำหนดให้จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับซึ่งกฎหมายเปิดโอกาสให้ศาลใช้ดุลพินิจลงโทษได้หลายประการตามความเหมาะสมและตามสภาพแห่งความผิด แสดงว่าความผิดเช่นนี้มิใช่ความผิดอันร้ายแรงนัก เฉพาะคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันทำไม้และมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำนวนเพียง 45 แผ่น และปริมาตรเพียง 0.675 ลูกบาศก์เมตรเท่านั้น ซึ่งจำนวนไม่มากนัก ตามข้อเท็จจริงแล้วสภาพแห่งความผิดของจำเลยที่ 3 มีเหตุสมควรรอการลงโทษให้ได้ แต่เพื่อให้หลาบจำจึงให้ปรับจำเลยที่ 3 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นอีกสถานหนึ่งเนื่องจากเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี จึงให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2และจำเลยที่ 4 ซึ่งมิได้ฎีกาได้รับผลแห่งการลงโทษโดยรอการลงโทษและปรับเช่นเดียวกับจำเลยที่ 3 ที่ฎีกาด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีแก่จำเลยทั้งสี่ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share