คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1055/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยนำเรือรบแล่นตามแม่น้ำจะผ่านสะพานพระพุทธยอดฟ้าเห็นแต่ไกลว่าสะพานยังไม่เปิด จำเลยควรจะชะลอความเร็วแล้วเดินหน้าถอยหลังจนกว่าสะพานเปิด แต่ก็ไม่ทำ กลับให้หยุดเดินเครื่องปล่อยให้เรือลอยไปตามกระแสน้ำใกล้สะพานจึงให้ทิ้งสมอจอดเรือเรือก็กลับลำเอาท้ายเรือไปปะทะเรือสะพานและรั้วของราษฎรซึ่งอยู่ริมแม่น้ำเสียหาย ถ้าน้ำไหลและลมพัดอย่างปกติตามฤดูกาลเท่านั้นแล้วจำเลยจะอ้างไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยจะป้องกันได้ เพราะกระแสน้ำไหลเชี่ยวและลมก็พัดแรง

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องในทำนองเดียวกันว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้บังคับการเรือโพธิ์สามต้น อยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1ได้ควบคุมเรือโพธิ์สามต้นแล่นออกจากท่ากรมอู่ทหารเรือเพื่อไปจอดที่บางนา ได้กระทำโดยประมาท ทำให้ท้ายเรือปัดไปชนเรือบรรทุกรำของนายเซ้ง แซ่เอี้ย ล่มและเบียดชนสะพานอู่ซ่อมเรือหลักผูกจอดเรือ และรั้วบ้านของนางสาวมาลี จงรุ่งเรือง เสียหาย ขอให้จำเลยร่วมกันและแทนกันใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ควบคุมเรือรบหลวงโพธิ์สามต้นไปจริง แต่การที่ท้ายเรือปัดไปปะทะท่าน้ำและเรือของราษฎรนั้น เป็นเพราะเหตุสุดวิสัยที่จะป้องกันได้ จำเลยที่ 1 มิได้ประมาท ความเสียหายไม่มากดังฟ้อง

ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อทำละเมิดต่อโจทก์จริงพิพากษาให้ร่วมกันและแทนกันใช้เงินแก่โจทก์

นางสาวมาลีโจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยร่วมกันและแทนกันใช้ค่าเสียหายให้แก่นางสาวมาลีโจทก์เพิ่มเติม

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงมีเหตุผลน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ได้นำเรือรบหลวงโพธิ์สามต้นแล่นมาตามลำน้ำเจ้าพระยาเพื่อผ่านสะพานพระพุทธยอดฟ้าด้วยความประมาทเลินเล่อจริง เพราะจำเลยที่ 1 ได้นำเรือออกจากท่ากรมอู่ทหารเรือเพื่อจะผ่านสะพานพุทธยอดฟ้าก่อนกำหนดเวลาที่จำเลยว่าเวลาประมาณ 13.28 นาฬิกา สะพานยังเปิดเสร็จไม่เรียบร้อยทำให้จำเลยที่ 1 ต้องสั่งให้ทิ้งสมอเพื่อจอดเรือนั้นฟังไม่ได้เพราะฟังได้ว่าสะพานได้เปิดเรียบร้อยก่อนตั้ง 2 นาทีแล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมสามารถที่จะนำเรือผ่านสะพานไปได้โดยปลอดภัย

ในประการต่อไป จำเลยที่ 1 อ้างว่า พอเรือแล่นมาถึงหน้าวัดอรุณราชวราราม เห็นสะพานพระพุทธยอดฟ้ายังไม่เปิด จำเลยที่ 1จึงสั่งให้หยุดเดินเครื่องและให้ประคองลำเรือให้หัวเรือตรงร่องน้ำไว้ จนเรือไหลมาห่างสะพานพระพุทธยอดฟ้าประมาณ 1 ถึง 2 กิโลเมตรสะพานจึงได้เริ่มเปิด เรือก็ยังคงไหลตามน้ำตามลมอยู่จนห่างสะพานราว 250 เมตร จำเลยที่ 1 จึงสั่งให้ทิ้งสมอจอดเรือการที่จำเลยที่ 1 กระทำดังกล่าว ทำให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 เห็นสะพานยังไม่เปิดในขณะที่เรือยังอยู่ห่างสะพานถึง 2 กิโลเมตร จำเลยที่ 1 ย่อมรู้ดีว่าควรจะทำอย่างไรเรือจึงจะผ่านไปได้โดยปลอดภัย ในข้อนี้นาวาเอกทวิช บุณรัตพันธ์ ซึ่งเคยเป็นผู้บังคับการเรือลำนี้มาก่อนจำเลยที่ 1 ก็เคยนำเรือผ่านสะพานพระพุทธยอดฟ้าเช่นกันโดยบางครั้งก็ต้องรอสะพานเปิดเพราะเปิดไม่ทันเวลา ในระยะที่เรือยังอยู่ห่างสะพานประมาณ 2 กิโลเมตรก็สามารถที่จะแต่งลำเรือได้ โดยให้ชะลอแล้วเดินหน้าถอยหลังจนกว่าสะพานจะเปิดจำเลยก็น่าจะได้กระทำดังนี้เสียแต่ในระยะแรกที่เห็นว่าสะพานยังไม่เปิดแต่จำเลยก็มิได้ปฏิบัติ กลับสั่งให้หยุดเดินเครื่องซึ่งย่อมไม่สามารถบังคับให้ถอยหลังเพื่อชะลอให้ถึงสะพานช้าไปได้การจะคิดแก้ไขข้อขัดข้องนี้ จำเลยที่ 1 ควรจะรู้ถึงกระแสน้ำที่ไหลและกระแสลมที่พัดอยู่ในขณะนั้นว่ามีสภาพเป็นอย่างไร ควรจะทำอย่างไรน่าจะเห็นได้ว่าการแก้ไขให้ทันท่วงทีนั้นจะต้องกระทำเสียเมื่อเรือยังอยู่ในระยะห่างไกลสะพาน ข้อนี้วิญญูชนธรรมดาก็จะต้องเห็นและคิดได้ ที่จำเลยที่ 1 คิดมาแก้ไขเหตุการณ์ในเมื่อเรือไหลมาใกล้สะพานเช่นในคดีนี้ จึงนับได้ว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยอีกข้อหนึ่ง

ที่จำเลยอ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยที่ 1 จะป้องกันได้เพราะกระแสน้ำไหลเชี่ยวและลมก็พัดแรงนั้น เห็นว่าเหตุสุดวิสัยนั้นจะไม่สามารถที่ใคร ๆ จะป้องกันได้ เช่น น้ำป่าไหลบ่ามาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เกิดพายุใหญ่พัดมาอย่างกระทันหัน หรือฟ้าผ่า เป็นต้น สำหรับกรณีของจำเลยเป็นเพียงน้ำไหลและลมพัดอย่างปกติตามฤดูกาลเท่านั้นจะอ้างไม่ได้ว่าเป็นเพราะเหตุสุดวิสัยที่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถจะป้องกันได้

พิพากษายืน

Share