แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ป.ม.แพ่ง ฯ มาตรา 185 เป็นเรื่องของการขยายเวลาคือถ้าสิทธิเรียกร้องจะขาดอายุความสั้นกว่า 1 ปี ก็ให้ขยายออกไป 1 ปี ส่วนที่กฎหมายกำหนดให้มีอายุความฟ้องร้องเกินกว่า 1 ปี ก็ต้องเป็นไปตามบทบัญญัตินั้น จะนำมาตรานี้มาใช้บังคับ โดยย่นเวลาให้สั้นเข้านั้นหาได้ไม่
โจทก์,จำเลยหย่าขาดกันโดยคำพิพากษาของศาล โจทก์ฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์อันเป็นส่วนสินสมรส เป็นคดีฟ้องเรียกทรัพย์สิน มีอายุความ 10 ปี ตาม ป.ม.แพ่ง ฯ มาตรา 164.แม้บิดามารดาจะทำพินัยกรรม์ร่วมกันก็ดี แต่เมื่อบิดาตายก่อน พินัยกรรม์ก็มีผลบังคับฉะเพาะส่วนของบิดาเท่านั้น
เงินผลประโยชน์อันเกิดจากสินสมรสนั้น จำเลยซึ่งถูกฟ้องขอแบ่งจะหักไว้ได้ก็ฉะเพาะค่ารักษาทรัพย์สิน ซึ่งเป็นประโยชน์ร่วมกัน ส่วนเงินค่ากินอยู่ของจำเลยและบุตรโจทก์จำเลยนั้นเป็นคนละประเภท จำเลยไม่ได้ฟ้องแย้ง ก็หักให้ไม่ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์,จำเลยเป็นสามีภรรยากัน และศาลได้พิพากษาให้โจทก์,จำเลยหย่าขาดจากกัน ทรัพย์สินยังไม่ได้แบ่ง จึงขอให้ศาลแบ่งสินสมรสให้โจทก์ ๒ ใน ๓ กับให้จำเลยส่งผลประโยชน์ คือ ค่าเช่าที่ดินและตึกแถวอันอยู่ในความครอบครองของจำเลย จำเลยให้การว่าทรัพย์ตามฟ้องเป็นทรัพย์ที่จำเลยได้มาก่อนเป็นภรรยาโจทก์ และมารดาจำเลยเป็นผู้ครอบครองแทนจำเลย จนกระทั่งมารดาตาย ทรัพย์สินเหล่านี้จึงเป็นสินส่วนตัวหรืออย่างน้อยก็เป็นสินเดิมของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอแบ่ง ผลประโยชน์เกิดจากทรัพย์จำเลยได้ใช้จ่ายในการครองชีพและเลี้ยงบุตร และรวมทั้งจ่ายค่าบำรุงรักษาทรัพย์สินเหล่านั้นไปหมดแล้ว ต่อมาจำเลยให้การเพิ่มเติมตัดฟ้องว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๑๘๕ และว่าการแบ่งสินสมรสควรแบ่งตามมาตรา ๑๕๑๗
คู่ความรับกันว่า โจทก์,จำเลยเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๖ ต่อมาศาลได้พิพากษาให้หย่าขาดจากกัน คดีถึงที่สุดวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๔๘๑ โฉนดที่ ๒๒๙๔ เดิมมีชื่อพระญาณวิจิตร และนางฮับบิดามารดาจำเลย ได้แก้ทะเบียนการโอนรับมฤดกเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๔๗๕ เป็นชื่อนางฮับและจำเลย ครั้นวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๔๗๘ นางฮับได้โอนขายส่วนของนางฮับให้แก่จำเลย และสำหรับโฉนดที่ ๑๙๔๗ เดิมมีชื่อพระญาณวิจิตรกบันางฮับ ต่อมาวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๔๖๐ แก้ทะเบียนโอนเป็นของนางฮับแต่ผู้เดียว ครั้นวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๔๗๘ นางฮับโอนขายให้แก่จำเลย
จำเลยแถลงว่า โฉนดทั้ง ๒ แปลงเป็นสินเดิมของจำเลย โดยจำเลยถือว่าได้ตกแก่จำเลยทั้งหมด ตามพินัยกรรมของพระญาณวิจิตร ซึ่งทำร่วมกับนางฮับ ตั้งแต่พระญาณวิจิตรตายแล้ว (รับกันว่าพระญาณวิจิตรตายก่อนจำเลยได้โจทก์เป็นสามี) หากว่าส่วนของนางฮับยังไม่ตกเป็นกรรมสิทธิของจำเลยผู้เดียว ไม่เกี่ยวแก่โจทก์ (นางฮับตายภายหลังโจทก์ , จำเลยหย่าขาดกันแล้ว)
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพะยานแล้วพิพากษาให้
(๑) ให้จำเลยจ่ายค่าเช่าที่เก็บมาก่อนฟ้องให้โจทก์ (๒) แบ่งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโฉนดที่ ๒๒๙๔ ให้โจทก์ ๑ ใน ๓ (๓) ให้แบ่งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโฉนดที่ ๑๙๔๗ ให้โจทก์ ๒ ใน ๓ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นสืบพะยานต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ แต่ศาลฎีกาเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นงดสืบพะยานชอบแล้ว ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาถึงประเด็นข้ออื่น ๆ พิพากษาใหม่ ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยคัดค้านว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๑๘๕ นั้น เห็นว่าตามมาตรานี้เป็นเรื่องของการขยายเวลา คือถ้าสิทธิเรียกร้องจะขาดอายุความสั้นกว่า ๑ ปี ก็ต้องขยายเวลาออกไปเป็น ๑ ปี ส่วนที่กฎหมายกำหนดให้มีอายุความฟ้องร้องเกินกว่า ๑ ปีก็ต้องไปตามบทบัญญัตินั้น จะนำมาตรานี้มาใช้บังคับโดยย่นเวลาให้สั้นเข้ามานั้นหาได้ไม่ ต้องบังคับตามอายุความเรื่องทรัพย์สิน อันมีอายุความ ๑๐ ปี ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๑๖๔
ข้อคัดค้านของจำเลยว่า มฤดกของพระญาณวิจิตรรวมทั้งส่วนของนางฮับด้วย ควรตกเป็นสิทธิแก่จำเลยตั้งแต่พระญาณวิจิตรถึงแก่กรรมนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้พระญาณวิจิตรกับนางฮับจะทำพินัยกรรมร่วมกัน ก็แต่เมื่อพระญาณวิจิตรตายก่อน พินัยกรรม์ก็มีผลบังคับฉะเพาะทรัพย์สินของพระญาณวิจิตรเท่านั้น จำเลยคัดค้านว่า เงินที่จำเลยได้จ่ายเป็นค่าเลี้ยงดูบุตร ควรจะให้หักได้นั้น ก็เห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลล่างว่า จะหักได้ฉะเพาะค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวแก่การรักษาทรัพย์สิน ซึ่งเป็นประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น เงินค่ากินอยู่ของจำเลยและบุตรนั้นเป็นคนละประเภท เมื่อจำเลยมิได้ฟ้องแย้งไว้ ก็หักให้ไม่ได้
พิพากษายืน.