คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 657/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยใช้ไม้ขนาดหน้า 3 นิ้วฟุต ยาวราว 1 ศอก ไม่ปรากฏความหนาตีผู้ตาย เมื่อผู้ตายล้มลงก็เข้าไปกระทืบซ้ำ และเมื่อจำเลยต้อนผู้ตายไปติดอยู่ที่รถปิกอัพจำเลยก็จับศีรษะผู้ตายโขกกับเสาเหล็กโครงหลังคารถซึ่งเป็นเสากลมกลวงขนาดโตไม่เกิน 1 นิ้ว กับเมื่อผู้ตายเดินกลับบ้านจำเลยก็หักไม้รั้วบ้านโดยไม่ปรากฏว่าเป็นไม้ใหญ่ขนาดเท่าใดตีผู้ตายแล้วเลิกรากันไปพฤติการณ์ดังกล่าวยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย คงมีเพียงเจตนาทำร้ายร่างกายผู้ตายเท่านั้น ก่อนผู้ตายจะถูกจำเลยทำร้าย ผู้ตายมีอาการปกติดีอยู่ ไม่ได้ส่อว่าจะถึงแก่ความตายด้วยโรคตับแข็งซึ่งผู้ตายเป็นอยู่ในเร็ววันการที่ผู้ตายถึงแก่ความตายหลังจากถูกจำเลยทำร้ายเพียงประมาณ17 ชั่วโมง สภาพศพภายในสมองบวมน้ำ กระดูกซี่โครงซี่ที่ 2และที่ 4 ข้างขวาช้ำมีรอยแตกร้าว ส่วนสภาพศพภายนอกมีรอยช้ำขนาดใหญ่ที่ใบหน้าด้านขวาตั้งแต่คิ้วถึงคางและขอบตาซ้าย แม้แพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพจะเบิกความว่าผู้ตายถึงแก่ความตายด้วยโรคตับแข็งไม่ได้ตายเพราะบาดแผลที่ถูกจำเลยทำร้ายแต่ก็ไม่ได้ยืนยันว่าการที่จำเลยทำร้ายผู้ตายไม่เป็นเหตุทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเร็วขึ้น จึงถือได้ว่าการกระทำของจำเลยทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเร็วขึ้นกว่าที่ควร จำเลยต้องมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไม่เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 1 ปี 6 เดือน ข้อหาฆ่าผู้อื่นให้ยก โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ให้จำคุก 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกาโดยอธิบดีกรมอัยการรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาดังที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาหรือไม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยเพียงแต่ใช้ไม้ขนาดหน้า 3นิ้วฟุต ยาวราว 1 ศอก โดยไม่ปรากฏว่าเป็นไม้หนาเท่าใดตีผู้ตาย เมื่อผู้ตายล้มลงก็เข้าไปกระทืบซ้ำ และเมื่อจำเลยต้อนผู้ตายไปติดอยู่ที่รถปิกอัพจำเลยก็จับศีรษะผู้ตายโขกกับเสาเหล็กโครงหลังคารถปิกอัพซึ่งตามภาพถ่ายปรากฏว่าเป็นเสากลมกลวงขนาดโตไม่เกิน 1 นิ้ว กับเมื่อผู้ตายเดินกลับบ้านจำเลยก็หักไม้รั้วบ้านซึ่งไม่ปรากฏว่าเป็นไม้ใหญ่ขนาดเท่าใดตีผู้ตายแล้วก็เลิกรากันไปพฤติการณ์ดังกล่าวยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาจะฆ่าผู้ตาย คงถือได้เพียงว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้ตายเท่านั้น ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่าความตายของผู้ตายเป็นผลโดยตรงจากการถูกจำเลยทำร้ายร่างกายหรือไม่ข้อเท็จจริงได้ความว่า ก่อนถูกจำเลยทำร้ายร่างกายผู้ตายมีอาการปกติดีอยู่ไม่มีวี่แววว่าจะถึงแก่ความตายด้วยโรคตับแข็งซึ่งผู้ตายเป็นอยู่ในเร็ววันคืนเกิดเหตุยังมาช่วยนางอรุณีเก็บแก้วอยู่บริเวณหน้าบ้านนางอรุณี โดยไม่มีพยานบุคคลปากใดเบิกความว่าผู้ตายมีอาการผิดปกติที่ส่อว่าจะถึงแก่ความตายในเวลาอันรวดเร็วการที่ผู้ตายถึงแก่ความตายหลังจากถูกจำเลยทำร้ายร่างกายดังกล่าวมาแล้วเพียงประมาณ 17 ชั่วโมง โดยปรากฏจากรายงานการตรวจศพว่าสภาพศพภายในสมองบวมน้ำ กระดูกซี่โครงซี่ที่ 2 และ 4ข้างขวาช้ำ มีรอยแตกร้าว ส่วนอาการภายนอกมีรอยช้ำขนาดใหญ่ที่ใบหน้าด้านขวา ตั้งแต่คิ้วถึงคางและขอบตาซ้าย แม้นายแพทย์มโนชญ์ แพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพจะเบิกความว่าผู้ตายถึงแก่ความตายด้วยโรคตับแข็ง มิได้ตายเพราะบาดแผลที่ถูกจำเลยทำร้ายก็ตามนายแพทย์มโนชญ์ก็มิได้ยืนยันว่าการที่จำเลยทำร้ายร่างกายผู้ตายไม่เป็นเหตุที่ทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเร็วขึ้น ศาลฎีกาเห็นว่า จากลักษณะอาการของผู้ตายก่อนถูกจำเลยทำร้ายในคืนเกิดเหตุซึ่งไม่ปรากฏว่ามีอาการผิดปกติอันส่อว่าจะถึงแก่ความตายในเวลาอันรวดเร็ว กลับมาถึงแก่ความตายหลังจากถูกจำเลยทำร้ายร่างกายเพียงประมาณสิบเจ็ดชั่วโมงนั้น ฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเร็วขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไม่เจตนา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา แต่ที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 โดยไม่ระบุวรรค เห็นควรระบุวรรคเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 วรรคแรก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”

Share