คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2604/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ป. วิวาทกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงใช้เหล็กแป๊ปน้ำยาว 80 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง 1 นิ้ว เป็นอาวุธตี ป.ที่ศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะส่วนสำคัญอย่างรุนแรง 1 ครั้ง เป็นเหตุให้มีก้อนเลือดราว 200 มิลลิลิตร อยู่นอกเยื่อหุ้มสมองและกดสมองจนเป็นเหตุให้ ป. ถึงแก่ความตายหลังเกิดเหตุเพียง 2 ชั่วโมงเศษย่อมแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ว่า ต้องการฆ่า ป. หรือเล็งเห็นผลได้ว่าทำให้ ป. ถึงแก่ความตายได้ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288
ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 เพียงแต่วิ่งตามจำเลยที่ 1 และ ป. ไป เมื่อตามไปทันก็ช่วยจับ ป. จนล้มลง และกด ป. ให้นอนลงกับพื้นโดยไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุกับ ป. แต่อย่างใด ทั้งในระหว่างที่วิ่งไล่ตามไปนั้นหากมีเจตนาฆ่า จำเลยที่ 2 ซึ่งมีเหล็กแหลมเป็นอาวุธคงจะแทง ป. แล้ว และจำเลยที่ 3 ที่ 4 ก็น่าจะทำอะไรมากกว่านั้น แต่หาได้กระทำไม่ การที่จำเลยที่ 3 ส่งเหล็กแป๊ปน้ำให้จำเลยที่ 1 ก็ไม่แน่ว่าส่งให้โดยมีเจตนาให้ใช้ฆ่า ป. และขณะที ป. ถูกจับจนล้มลง หากจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 มีเจตนาร่วมกันฆ่า ป. ก็คงจะรุมทำร้าย ป. เสียในตอนนั้นแล้ว คงจะไม่ปล่อยให้ ป.ยืนขึ้นจนถูกจำเลยที่ 1 ใช้เหล็กแป๊ปน้ำตีที่ศีรษะด้านหลังซึ่งถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ร่วมกันจับ ป. ไว้ให้จำเลยที่ 1ตี และเมื่อ ป. ยืนขึ้นแล้ววิ่งหนี จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4ก็ไม่ได้ไล่ตามไปทำร้าย ป. ซ้ำอีก พฤติการณ์เช่นนี้ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่า ป.คงฟังได้เพียงว่าจำเลยทั้งสามมีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1 ทำร้าย ป.เท่านั้น เมื่อผลการทำร้ายเป็นเหตุทำให้ ป. ถึงแก่ความตายจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 จึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 83

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑, ๒๘๘, ๓๗๑, ๓๗๙ และริบของกลาง
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐, ๘๓ ให้จำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ ๕ ปีและปรับจำเลยที่ ๑ ตามมาตรา ๓๗๑ จำนวน ๑๐๐ บาท ตามมาตรา ๓๗๙ จำนวน ๒๐๐ บาท รวมโทษจำเลยที่ ๑ จำคุก ๕ ปี ปรับ ๓๐๐ บาทริบของกลาง ยกข้อหาอื่น
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยอธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาในชั้นฎีกาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๓ หรือไม่ข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม๒๕๒๙ เวลาประมาณ ๒๓ นาฬิกา นายประกอบมีความโกรธจำเลยที่ ๑เมื่อทราบว่า จำเลยที่ ๑ ทำร้ายนางวิไลภรรยาจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นน้องสาวของนายประกอบได้รับบาดเจ็บมีโลหิตไหลต้องไปให้แพทย์รักษา จึงได้มาท้าทายจำเลยที่ ๑ ที่บ้านพักจำเลยที่ ๑ โดยนายประกอบมีไม้ที่คว้ามาได้ข้างทางเป็นอาวุธ จำเลยที่ ๑ ได้สมัครใจวิวาทด้วยโดยถือมีดปลายแหลมยาวประมาณ ๒ ฟุต เป็นอาวุธเดินลงจากที่พักของจำเลยที่ ๑ มาต่อสู้กับนายประกอบ นายประกอบใช้ไม้ตีจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ หลบแล้วใช้มีดฟันโต้ตอบ นายประกอบยกไม้ขึ้นรับ ไม้หัก นายประกอบวิ่งหนี จำเลยที่ ๑ วิ่งตามไปและโยนมีดทิ้ง เข้าชกต่อยกับนายประกอบได้ ๒-๓ นาที จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ที่ ๔ ได้เข้าช่วยจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๓ เป็นคนจับขาทั้งสองของนายประกอบ นายประกอบจึงล้มลง จำเลยที่ ๒ ได้นั่งคุกเข่าใช้มือซ้ายกดไหล่นายประกอบ มือขวาถือเหล็กแหลมขู่ จำเลยที่ ๔นั่งคุกเข่าใช้มือกดไหล่อีกข้างหนึ่งของนายประกอบไว้ จำเลยที่ ๓ ส่งเหล็กแป๊ปน้ำของกลางซึ่งยาวประมาณ ๘๐ เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาประมาณ ๑ นิ้ว ให้จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็ปล่อยตัวนายประกอบ นายประกอบยืนขึ้น จำเลยที่ ๑ ใช้เหล็กแป๊ปน้ำตีนายประกอบอย่างแรง ๑ ที ที่บริเวณหลังศีรษะด้านซ้าย แล้วจำเลยทั้งสี่ยืนคุมเชิงอยู่ นายประกอบวิ่งหนี พอดีนางกิ่งได้มาห้ามไว้เมื่อกลับถึงบ้านพัก นายประกอบรู้สึกปวดศีรษะมาก มีคนพาไปโรงพยาบาลวชิรพยาบาล นายประกอบถึงแก่ความตายในคืนนั้น โดยแพทย์ลงความเห็นว่าตายเพราะก้อนเลือดกดสมองเนื่องจากการตีของจำเลยที่ ๑นั่นเอง จากข้อเท็จจริงนี้เห็นว่า เหล็กแป๊ปน้ำมีความยาว ๘๐ เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง ๑ นิ้ว เป็นอาวุธที่สามารถตีคนถึงแก่ความตายได้ ตำแหน่งบาดแผลที่ถูกตีคือศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะส่วนสำคัญ เมื่อกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงย่อมทำให้ถึงแก่ความตายได้ ดังนั้นเมื่อพิจารณาอาวุธที่ใช้ ตำแหน่งของร่างกายที่ถูกตี และจำเลยที่ ๑ ตี ๑ ครั้งอย่างแรงเป็นเหตุให้มีก้อนเลือดราว ๒๐๐ มิลลิลิตรอยู่นอกเยื่อหุ้มสมองและกดสมองจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายหลังเกิดเหตุเพียง ๒ ชั่วโมงเศษแล้วย่อมแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๑ ว่าต้องการฆ่านายประกอบหรือเล็งเห็นผลได้ว่าทำให้นายประกอบถึงแก่ความตายได้ จำเลยที่ ๑ จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ส่วนจำเลยที่ ๒ ที่ ๓และที่ ๔ ได้ความเพียงว่าได้วิ่งตามจำเลยที่ ๑ และผู้ตายไปเมื่อตามไปทันก็ช่วยจับผู้ตายจนล้มลงและกดผู้ตายให้นอนลงกับพื้นโดยไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุกับผู้ตายแต่อย่างใด ทั้งในระหว่างที่วิ่งไล่ตามไปนั้นหากมีเจตนาฆ่า จำเลยที่ ๒ ซึ่งมีเหล็กแหลมเป็นอาวุธคงจะแทงผู้ตายแล้ว และจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ก็น่าจะทำอะไรมากกว่านั้น แต่หาได้กระทำไม่ การที่จำเลยที่ ๓ ส่งเหล็กแป๊ปน้ำให้จำเลยที่ ๑ ก็ไม่แน่ว่าส่งให้โดยมีเจตนาให้ใช้ฆ่าผู้ตาย และขณะที่ผู้ตายถูกจับจนล้มลงนั้น หากจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ มีเจตนาร่วมกันฆ่าผู้ตายก็คงจะรุมทำร้ายผู้ตายเสียในตอนนั้นแล้วคงจะไม่ปล่อยให้ผู้ตายยืนขึ้นจนถูกจำเลยที่ ๑ ใช้เหล็กแป๊ปน้ำตีที่ศีรษะด้านหลังซึ่งถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ร่วมกันจับผู้ตายไว้ให้จำเลยที่ ๑ ตี และเมื่อผู้ตายยืนขึ้นแล้ววิ่งหนีจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็ไม่ได้ไล่ตามไปทำร้ายผู้ตายซ้ำอีกพฤติการณ์เท่าที่ได้ความดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ที่ ๔ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ มีเจตนาฆ่าผู้ตาย คงฟังได้เพียงว่าจำเลยทั้งสามมีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ ๑ ทำร้ายผู้ตายเท่านั้น เมื่อผลการทำร้ายเป็นเหตุทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ จึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน แต่ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญมาตรา ๒๙๐ โดยไม่ระบุวรรคใดนั้น สมควรระบุเสียให้ชัดแจ้ง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘ จำคุก ๒๐ ปี จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐ วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา ๘๓ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share