คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1050/2495

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จ้าหนี้นำยึดบ้านเรือน โดยมีเหตุผลให้เชื่อโดยสุจริตวา บ้านเรือนที่ยึดเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาจนขายทอดตลาดบ้านเรือนนั้นไป ดังนี้ ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำที่โดยใช้สิทธิทางศาล เมื่อเจ้าหนี้หรือผู้แทนกระทำไปโดยมิได้ประมาทเลินเล่อแต่อย่างใดแล้ว ถึงแม้จะปรากฎว่าบ้านเรือนที่นำยึดเป็นของผู้อื่นก็ดี การกระทำของเจ้าหนี้ก็ไม่เป็นการละเมิด
(อ้างฎีกาที่ 960/2485)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิบ้านเลขที่ 197 ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งโจทก์เช่ามา จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 2 ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีมายึดบ้านเลขที่ 197 นี้ ขายทอดตลาดทั้งนี้โดยจำเลยทั้ง 2 สมยอมกัน จึงขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดนั้นเสีย ถ้าบังคับไม่ได้ ก็ให้จำเลยทั้ง 2 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า ได้กระทำไปโดยชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ขอให้ผู้รับซื้อเรือนจากการขายทอดตลาดเข้ามาเป็นจำเลยร่วม แต่ภายหลังได้ถอนฟ้องผู้รับซื้อ และจำเลยที่ 2 เสีย คงพิจารณาเฉพาะจำเลยที่ 1 ต่อไปผู้เดียว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 6,000 บาท ฯลฯ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงตลอดแล้ว เชื่อว่าการโอนซื้อขายเรือนระหวางโจทก์กับจำเลยที่ 2 นั้น เป็นไปโดยทางสมยอมกัน เพื่อป้องกันจะไม่ใช้หนี้จำเลยที่ 1 มากกว่า
จึงเห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 นำยึดบ้านเรือนรายพิพาท ตลอดจนขายทอดตลาดไป เป็นการกระทำโดยใช้สิทธิทางศาล ได้ความว่า มีเหตุผลให้จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่า บ้านเรือนที่ยึดไว้ เป็นของจำเลยที่ 2 ผู้เป็นลูกหฟนี้จำเลยที่ 1 หรือผู้แทน กระทำไปโดยมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างใด จึงไม่เป็นการละเมิดดังที่โจทก์ฟ้อง
(อ้างฎีกา 960/2485)
จึงพิพากษายืน

Share