คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 105/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีโดยให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งบังคับให้จำเลยรื้อถอนห้องแถว 3 ห้องของจำเลยออกไปจากที่พิพาทแล้วส่งคืนที่พิพาทในสภาพอันเรียบร้อยแก่โจทก์ ชั้นบังคับคดี จำเลยยื่นคำร้องว่า ที่พิพาทที่จำเลยปลูกบ้านอยู่นี้เป็นของวัดกำแพง(วัดร้าง) ซึ่งจำเลยเช่าจากวัดโบสถ์ และวัดร้างอยู่ในความดูแลของกรมการศาสนา บัดนี้ กรมการศาสนาได้ยื่นฟ้องโจทก์เพื่อเรียกที่ดินพิพาทคืนจากโจทก์แล้ว หากกรมการศาสนาชนะคดีโจทก์แล้วอำนาจบังคับคดีของโจทก์ก็หมดไปในตัว จึงขอให้ศาลชั้นต้นรอการบังคับคดีไว้ก่อนเพื่อรอผลคดีที่กรมการศาสนาฟ้องโจทก์ดังกล่าวให้ถึงที่สุดก่อน ดังนี้ คำร้องของจำเลยเป็นเรื่องขอให้งดการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งอยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะสั่งตามสมควรแก่รูปคดี ถ้าศาลเห็นว่าจำเลยได้ใช้วิธีการต่าง ๆ ในเชิงคดีที่จะประวิงการบังคับคดีตามคำพิพากษาให้เนิ่นนานตลอดมา และปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้ผ่อนผันให้โอกาสและเวลานานพอที่จำเลยจะปฏิบัติตามคำบังคับแล้ว การที่กรมการศาสนาฟ้องโจทก์ตามที่จำเลยกล่าวอ้างในคำร้อง ไม่เป็นเหตุที่จะงดการบังคับคดี

ย่อยาว

คดีนี้ ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้จำเลยรื้อถอนห้องแถว ๓ ห้องของจำเลยออกไปจากที่พิพาทแล้วส่งคืนที่พิพาทในสภาพอันเรียบร้อยแก่โจทก์
ชั้นบังคับคดี จำเลยยื่นคำร้องว่าคดีถึงที่สุดแล้ว และอยู่ในระหว่างศาลขยายระยะเวลาบังคับคดีให้จำเลย ที่พิพาทที่จำเลยปลูกบ้านอยู่นี้เป็นของวัดกำแพง(วัดร้าง) ซึ่งจำเลยเช่าจากวัดโบสถ์และวัดร้างอยู่ในความดูแลของกรมการศาสนา บัดนี้ กรมการศาสนาได้ยื่นฟ้องโจทก์เพื่อเรียกที่ดินพิพาทคืนจากโจทก์แล้ว หากกรมการศาสนาชนะคดีโจทก์แล้ว อำนาจบังคับคดีของโจทก์ก็หมดไปในตัว และจำเลยได้ตกลงเช่าที่ดินพิพาทจากกรมการศาสนาแล้ว การสอบสวนของกรมที่ดินก็ได้ความว่า โฉนดที่ ๙๐๐๙ ของโจทก์ออกทับที่ดินของวัดร้าง กรมที่ดินจะได้ดำเนินการเพิกถอนโฉนดต่อไป จึงขอให้ศาลชั้นต้นรอการบังคับคดีไว้ก่อนเพื่อรอผลคดีที่กรมการศาสนาฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้ถึงที่สุดก่อน
โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านว่า โจทก์ได้ยอมผ่อนเวลาให้จำเลยมานานแล้ว จำเลยพยายามวิ่งเต้นให้กรมการศาสนานำคดีมาฟ้องเพื่อทำลายโฉนดของโจทก์ ซึ่งกรมการศาสนาไม่มีทางชนะคดีโจทก์ได้ เพราะในวันชี้สองสถานคดีเรื่องนั้นกรมการศาสนายอมรับว่าวัดโบสถ์เคยเป็นโจทก์ฟ้องนายทวีเป็นจำเลยมาครั้งหนึ่งแล้ว คดีนั้นศาลฎีกาพิพากษาให้ทำลายโฉนดที่ ๘๐๐๙ เฉพาะภายในเส้นสีแดงเนื้อที่ ๑๖๐ ตารางวา ว่าเป็นที่ดินของวัดเท่านั้น โฉนดส่วนที่เหลือ ๑ งาน๘๐ วาจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของนายทวี ต่อมานายทวีได้ขายที่ดินโฉนดที่ ๘๐๐๙ ส่วนที่เหลือให้โจทก์ เมื่อโจทก์ซื้อแล้วจึงได้ฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีขึ้นผลที่สุดศาลฎีกาพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกไปจากที่พิพาท แต่จำเลยยังไม่ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป โจทก์ต้องการขยายกิจการค้าของโจทก์ โดยจะขยายโรงสีข้าวของโจทก์ซึ่งมีอยู่แล้วในที่ดินข้างเคียงให้กว้างขวางขึ้น
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องของจำเลยว่า ถึงแม้กรมการศาสนาจะฟ้องโจทก์ขอเพิกถอนโฉนด นั่นก็เป็นเพียงคดีที่กำลังอยู่ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น ผลของคดีจะปรากฎอย่างไรย่อมไม่กระทบกระเทือนต่อคำวินิจฉัยของศาลฎีกาในขณะนี้ได้ จึงให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลฎีกา
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำร้องของจำเลยเป็นเรื่องขอให้งดการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งอยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะสั่งตามสมควรแก่รูปคดี โดยเฉพาะคดีนี้ศาลฎีกาได้ตรวจพิเคราะห์โดยตลอดแล้วเห็นว่า จำเลยได้ใช้วิธีการต่าง ๆ ในเชิงคดีที่จะประวิงการบังคับคดีตามคำพิพากษาให้เนิ่นช้าตลอดมา ศาลชั้นต้นได้ผ่อนผันให้โอกาสและเวลานานพอที่จำเลยจะปฏิบัติตามคำบังคับแล้ว การที่กรมการศาสนาฟ้องโจทก์ตามที่จำเลยกล่าวอ้างมาในคำร้อง ไม่เป็นเหตุที่จะงดการบังคับคดีนี้ พิพากษายืน

Share