แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีฟ้องขับไล่ซึ่งจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ถือว่าเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ถึงแม้โจทก์จะมีคำขอเรียกค่าเช่าและค่าเสียหายมาด้วยก็จะชี้ขาดว่าเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ไม่ได้ คดีเช่นว่านี้ แม้ประเด็นเรื่องขับไล่ได้ยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกา เฉพาะประเด็นเรื่องค่าเสียหายเท่านั้นก็ตาม จำเลยก็ยังฎีกาในข้อเท็จจริงในฐานที่เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2507)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินโฉนดที่ ๓๔๘๓ กับตึกเรือนโรงสิ่งปลูกสร้างของโจทก์เพื่อการค้ามีกำหนด ๓ ปี นับแต่ ๑ กันยายน ๒๔๙๒ ค่าเช่าเดือนละ ๕๐๐ บาท จำเลยผิดสัญญาและบัดนี้สัญญาเช่าได้สิ้นกำหนดแล้ว โจทก์บอกกล่าวเลิกสัญญาการเช่าแล้ว จำเลยไม่ยอมออก โจทก์เสียหาย จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยกับบริวารออกจากที่ดินกับตึกเรือนโรงสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว และให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง ๔,๐๐๐ บาทกับค่าเสียหายเดือนละ ๒,๐๐๐ บาทตั้งแต่กันยายน ๒๕๐๓ จนกว่าจำเลยจะออกและส่งส่งมอบที่ดินให้โจทก์
จำเลยให้การว่า เดิมจำเลยเช่าที่ดินกับสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ตามฟ้องจริง ต่อมาโจทก์ขอเลิกสัญญากับจำเลย โจทก์ทำสัญญาเช่ากับจำเลยใหม่เมื่อ ๒ มิถุนายน ๒๔๙๔ โดยโจทก์ให้จำเลยกับพวกเช่าที่ดินแปลงเดียวกันนี้ยาวตามถนนดำรงค์รักษ์เพื่อปลูกตึกแถว ๒ ชั้น ๑๑ ห้อง มีกำหนด ๑๒ ปี เมื่อปลูกเสร็จจำเลยยอมยกกรรมสิทธิ์ตึกแถวให้เป็นของโจทก์โดยจำเลยยอมเสียค่าเช่าให้โจทก์เดือนละ ๖๐ บาทการทำสัญญาเช่าครั้งหลังนี้ จำเลยต้องเสียเงินกินเปล่าให้โจทก์จำนวนมากเพื่อหวังสิทธิที่จะได้เช่าที่ดินตามกำหนดเวลาที่ตกลงกัน โจทก์ได้มอบหมายให้จำเลยช่วยเก็บค่าเช่าจากผู้เช่าสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินแปลงเดียวกันซึ่งจำเลยได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์มาก่อนเป็นครั้งคราว แต่ขณะนี้โจทก์เป็นผู้เก็บค่าเช่าและตกลงทำสัญญาเช่ากับผู้เองทั้งสิ้น เว้นแต่โกดังของจำเลยที่ ๒ ซึ่งปลูกสร้างต่อเนื่อกับตึกแถวที่จำเลยได้ปลูกขึ้นตามสัญญาเช่าครั้งหลัง ซึ่งโจทก์ยอมให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่เช่าตามสัญญาฉบับหลัง การเช่าที่ดินเพื่อปลูกสร้างตึกโดยยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์นี้ แม้มิได้จดทะเบียน แต่เป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อยังไม่ครบกำหนดสัญญา โจทก์ก็ไม่มีสิทธิ์ฟ้องขับไล่จำเลยได้ โจทก์ไม่ได้เสียหายจริงตามฟ้อง หากเสียหายก็ไม่เกินเดือนละ ๕๐๐ บาทตามอัตราค่าเช่าที่โจทก์ตกลงกับจำเลย ค่าเช่าที่โจทก์ว่าค้าง ๔,๐๐๐ บาทก็ไม่เป็นความจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑-๒และบริวารออกจากที่ดินโฉนดที่ ๓๕๔๓ กับตึกเรือนโรงบรรดาสิ่งปลูกสร้างที่อยู่บนที่ดินนี้ไป(นอกจากตอนที่เช่ากันตามสัญญาหมาย จ.๒) ให้จำเลยที่๑-๒ ร่วมกันชำระค่าเช่าที่ค้าง ๔,๐๐๐ บาท และค่าเสียหายเดือนละ ๕๐๐ บาท ตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๕๐๓ เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ ๑-๒ จะออกและส่งมอบที่ดินให้โจทก์
โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ว่าโจทก์ควรได้ค่าเสียหายตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะค่าเสียหายโดยให้จำเลยที่ ๑-๒ ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ ๑,๔๐๐ บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น
จำเลยฝ่ายเดียวฎีกาว่าค่าเสียหายรายเดือนที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้เดือนละ ๑,๔๐๐ บาท ไม่ชอบ
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า คำฟ้องขับไล่ซึ่งจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ เช่นคดีเรื่องนี้ถือว่าเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ถึงแม้โจทก์จะมีคำขอเรียกค่าเช่าและค่าเสียหายมาด้วย ก็จะชี้ขาดว่าเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ ไม่ได้ โดยเฉพาะคดีนี้ประเด็นเรื่องขับไล่ได้ยุดิตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะประเด็นเรื่องค่าเสียหายเท่านั้นก็ตาม จำเลยก็ยังฎีกาในข้อเท็จจริงในฐานที่เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาของจำเลยแล้วพิพากษาแก้ว่า ให้จำเลยที่๑-๒ ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ ๑,๒๐๐ บาท ตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๕๐๓ เป็นต้นไป นอกจากทีแก้ คงให้เป็นไปตามศาลอุทธรณ์